วันนี้ (17 ก.พ.2568) นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.)หรือสภาพัฒน์ฯ กล่าวว่า สภาพัฒน์ฯยังคงประมาณการจีดีพีปี 2568 ที่ 2.3 – 3.3 % หรือค่ากลาง 2.8 % สำหรับปัจจัยสนับสนุนเศรษฐกิจไทยปี 2568 คือ การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช.
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สศช.
โดยเฉพาะรายจ่ายลงทุน การขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการบริโภคภาคเอกชนและการปรับตัวดีขึ้นของการลงทุนภาคเอกชน และการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยวและบริการที่เกี่ยวเนื่องรวมถึงการส่งออกในปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ดี
ขณะที่ยังต้องจับตาปัจจัยเสี่ยงเศรษฐกิจ ประกอบด้วยความผันผวนของระบบเศรษฐกิจและการเงินโลก เช่น นโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ภาระหนี้สินครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ความผันผวนภาคเกษตรจากสภาพอากาศที่ส่งผลต่อราคาผลผลิต

เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ กล่าวอีกว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปีนี้เพื่อให้ขยายตัวได้ถึง 3 % นั้นคงต้องดูองค์ประกอบอื่น ๆ ว่าจะทำให้เติบโตได้ขนาดไหน และต้องออกมาช่วงเวลาที่เหมาะสม และงบประมาณที่มีอยู่ โดยรัฐบาลมีงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการได้จำนวน 1.57 แสนล้านบาท
ส่วนตัวคิดว่าภาครัฐควรจัดทำแพ็กเกจในการลงทุน เช่น การบริหารจัดการแหล่งน้ำทั่วประเทศเพื่อเสริมความมั่นคงในเรื่องปัจจัยการผลิตและการป้องกันภัยพิบัติ ซึ่งขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังพิจารณาว่าจะดำเนินการในรูปแบบใดบ้าง

สำหรับแนวทางการบริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคในปี 2568 ควรให้ความสำคัญ เช่น การเตรียมการรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของประเทศคู่ค้า เจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และเตรียมมาตรการรองรับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้า
รวมถึงการเร่งรัดส่งเสริมการส่งออกสินค้าที่ไทยมีศักยภาพและคาดว่าจะได้รับประโยชน์จากมาตรการกีดกันทางการค้า ควบคู่ไปกับการเร่งรัดการเจรจาความตกลงการค้าเสรีที่กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจา และเตรียมศึกษาเพื่อเจรจากับประเทศคู่ค้าสำคัญใหม่ ๆ และส่งเสริมให้ภาคธุรกิจบริหารจัดการความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ควบคู่ไปกับการอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก

นอกจากนี้รัฐบาลต้องเร่งรัดส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนให้กลับมาขยายตัง และเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ เพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมการลงทุนในรูปแบบของกิจการร่วมค้า (Joint venture) เพื่อสร้างโอกาสในการส่งเสริมการสร้างธุรกิจเกี่ยวเนื่องของไทยในช่วงของการย้ายฐานการลงทุนของผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการกีดกันทางการค้า รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการที่มีฐานการผลิตขยายการผลิตในประเทศไทย
การดึงดูดอุตสาหกรรมและบริการเป้าหมายให้เข้ามาลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะการปรับลดอุปสรรคด้านขั้นตอนกระบวนการ และข้อบังคับ/กฎหมายที่เกี่ยวข้อง การผลิตผ่านการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อนำไปสู่การผลิตสินค้าไทยที่มีศักยภาพและมีมูลค่าสูงขึ้นที่สามารถหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาและมีมาตรฐานตรงตามความต้องการของตลาด

เลขาธิการสภาพัฒน์ฯ กล่าวอีกว่า รัฐบาลเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อให้เม็ดเงินรายจ่ายภาครัฐเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุนไม่ให้ต่ำกว่า 75% ของกรอบงบลงทุนรวม มุ่งเน้นการลงทุนในโครงการที่สำคัญ ทั้งโครงการลงทุนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ รวมทั้งโครงการลงทุนด้านการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อวางรากฐานปัจจัยการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการบริหารจัดการน้ำระดับพื้นที่ให้กระจายไปสู่ชุมชน
และการขับเคลื่อนภาคการท่องเที่ยวให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการเร่งรัดแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศ (PM2.5) อย่างจริงจังเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับการรักษามาตรฐานความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว รวมถึงการเตรียมความพร้อมของปัจจัยแวดล้อมด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น สนามบิน/เที่ยวบิน กระบวนการตรวจคนเข้าเมือง โครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก รวมทั้งการบริหารจัดการพื้นที่และสิ่งแวดล้อม

ส่วนจีดีพีไตรมาสที่ 4/2567 และภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2567 และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 256 เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 4 ขยายตัวได้ 3.2% โดยการผลิต และค่าใช้จ่ายปรับตัวดีขึ้นทุกตัว โดยภาครัฐขยายตัวได้ 39.4% และการส่งออกสินค้าขยายตัวได้ 8.9% แต่การลงทุนภาคเอกชนยังติดลบ 2.1% สำหรับ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ อัตราการว่างงานอยู่ที่ร้อยละ 1.0 อัตราเงินเฟ้อเฉลี่อยู่ที่ 0.4% และ ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลร้อยละ 2.3 ของ GDP
อ่านข่าว:
“ทองคำ” โอกาสนักลงทุน บนวิกฤต “ทรัมป์ป่วน” เศรษฐกิจโลก
อานิสงส์มาตรการรัฐ ดันดัชนีเชื่อมั่นฯปรับตัวสูงสุดรอบ 8 เดือน
ท่องเที่ยวแผ่ว-หนี้ครัวเรือนพุ่ง เกียรตินาคินภัทร ชี้เศรษฐกิจไทยโตชะลอ