ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ทิศทาง NATO ยังคงปกป้องหรือกำลังเปลี่ยนแปลง "พันธมิตร"

ต่างประเทศ
3 มี.ค. 68
15:59
125
Logo Thai PBS
ทิศทาง NATO ยังคงปกป้องหรือกำลังเปลี่ยนแปลง "พันธมิตร"
NATO องค์กรที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อปกป้องยุโรปจากภัยคุกคามโซเวียตช่วงสงครามเย็น เป็นปัจจัยสำคัญในสงครามภูมิรัฐศาสตร์ รัสเซีย-ยูเครน และตอนนี้ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นตัวประกัน เมื่อสหรัฐฯ อาจกำลังพิจารณาถอนตัว

นาโต-วอร์ซอ สู่ "สงครามเย็น"

ย้อนกลับไปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกา สหภาพโซเวียต และประเทศพันธมิตรอื่น ๆ เคยร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับฝ่ายอักษะ นำโดยเยอรมนี ญี่ปุ่น และอิตาลี แต่ทันทีที่สงครามจบลงในปี 1945 สันติภาพที่หลายคนหวังกลับไม่เกิดขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างอดีตพันธมิตรอย่างสหรัฐฯ และสหภาพโซเวียต เริ่มเปลี่ยนเป็นความหวาดระแวงกันแทน

เมื่อสหรัฐฯ ใช้อาวุธนิวเคลียร์ถล่มฮิโรชิมะและนางาซากิ ทำให้โซเวียตเริ่มกังวลว่าตัวเองอาจตกเป็นเป้าหมายของสหรัฐฯ ในอนาคต ความตึงเครียดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนในปี 1949 สหรัฐฯ และประเทศในยุโรปตะวันตกก่อตั้ง "องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO)" ขึ้นมา เพื่อต่อต้านการขยายอิทธิพลของโซเวียต โดยมีหลักการสำคัญว่า

ถ้าประเทศสมาชิกหนึ่งถูกโจมตี จะถือว่าเป็นการโจมตีต่อ NATO ทั้งหมด

โซเวียตเองก็ไม่น้อยหน้า ก่อตั้ง "สนธิสัญญาวอร์ซอ (Treaty of Warsaw)" ขึ้นมาในปี 1955 เพื่อรวมกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ฝั่งยุโรปตะวันออก นับเป็นการแบ่งโลกออกเป็น 2 ขั้วอำนาจ ซึ่งทำให้เกิด "สงครามเย็น" ที่ยาวนานกว่า 40 ปี

สงครามเย็น เป็นมากกว่าความขัดแย้งทางทหาร แต่มันคือสงครามแห่งอุดมการณ์ที่ครอบคลุมทุกด้านของชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันด้านอาวุธนิวเคลียร์ การสอดแนมทางการเมือง การแข่งขันทางเศรษฐกิจ และการแข่งกันสร้างอิทธิพลในประเทศกำลังพัฒนา สหรัฐฯ และโซเวียต ต่างสนับสนุนรัฐบาลและกลุ่มกบฏในหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม และความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งส่งผลให้เกิดความรุนแรงยืดเยื้อในหลายประเทศ

แม้สงครามเย็นจะสิ้นสุดลงในช่วงต้นทศวรรษ 1990 แต่ NATO ยังคงดำรงอยู่และขยายตัวต่อไป โดยรับสมาชิกใหม่จากยุโรปตะวันออก ซึ่งเคยอยู่ภายใต้อิทธิพลของโซเวียต การขยายตัวของ NATO ทำให้รัสเซียไม่พอใจและมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของตนเอง ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่นำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนในปัจจุบัน

"ยูเครน" ประเทศที่ติดอยู่ระหว่าง 2 ขั้วอำนาจ

หลังจากโซเวียตล่มสลายในปี 1991 ประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งก็แยกตัวเป็นอิสระ "ยูเครน" เป็นหนึ่งในนั้น ที่แยกออกมาเป็นประเทศของตัวเอง แต่ถึงจะแยกเป็นรัฐอิสระ สายสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรม ภาษา และรากเหง้าทางประวัติศาสตร์กับรัสเซียก็ยังแน่นแฟ้น

โดยเฉพาะในเขต ดอนบาส (Donbas) ซึ่งรวมถึงแคว้นรัฐโดเนสต์ (Donetsk) และ ลูฮันสก์ (Luhansk) คนในพื้นที่จำนวนมากยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นรัสเซีย พวกเขาพูดภาษารัสเซีย เชียร์รัสเซีย และบางส่วนถึงขั้นอยากกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

รัสเซียเองก็มองว่ายูเครนเป็นเหมือน "กันชน" ระหว่างตัวเองกับยุโรปตะวันตก หากยูเครนเข้าร่วม NATO นั่นหมายถึงอเมริกาและพันธมิตรจะสามารถตั้งฐานทัพที่ชายแดนรัสเซียโดยตรง ซึ่งเป็นสิ่งที่เครมลินไม่มีวันยอม

ความวิตกกังวลของรัสเซียไม่ได้เป็นเพียงเรื่องยุทธศาสตร์ทางทหาร แต่ยังเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของยูเครนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิรัสเซียและสหภาพโซเวียต ซึ่งเครมลินมองว่ายังคงต้องการคงอิทธิพลของตนในภูมิภาคนี้ต่อไป

ความขัดแย้งเริ่มปะทุขึ้นในปี 2014 เมื่อเกิดการประท้วงขับไล่ ปธน.ยูเครน วิกเตอร์ ยานูโควิช ที่มีแนวคิดฝักใฝ่รัสเซีย รัฐบาลใหม่ที่มีแนวโน้มฝักใฝ่ตะวันตกได้รับการจัดตั้งขึ้น ส่งผลให้รัสเซียตอบสนองด้วยการแทรกแซงทางทหารและผนวกคาบสมุทรไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของตน ทำให้ NATO และชาติตะวันตกตอบโต้ด้วยการคว่ำบาตรรัสเซีย แต่ความตึงเครียดก็ยังไม่จบลง

ความขัดแย้งในดอนบาสระหว่างกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซียกับกองทัพยูเครนยิ่งทำให้สถานการณ์ซับซ้อนมากขึ้น กลายเป็นสงครามตัวแทนที่ยืดเยื้อและกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งรุนแรงในปี 2022

สงครามเต็มรูปแบบ "ยูเครน" ขอร่วม NATO

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 รัสเซียเปิดฉากบุกยูเครนเต็มกำลัง อ้างเหตุผลว่าต้องการ "ปกป้องชาวรัสเซียในยูเครน" และ "ป้องกันภัยคุกคามจาก NATO" แต่แท้จริงแล้วเป็นการแสดงอำนาจของรัสเซียเพื่อลดอิทธิพลของชาติตะวันตกในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในภูมิภาคดอนบาสซึ่งเป็นศูนย์กลางของการสู้รบมายาวนาน

กลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่สนับสนุนรัสเซียใช้ข้ออ้างเรื่องสิทธิของประชากรที่พูดภาษารัสเซียเพื่อให้มอสโกเข้ามาแทรกแซง สถานการณ์ในดอนบาสทำให้สงครามไม่ใช่แค่การปะทะกันของ 2 ประเทศ แต่ยังเป็นสนามรบของแนวคิดและอิทธิพลระหว่างรัสเซียและตะวันตก

NATO ไม่ได้ปฏิเสธการขอเข้าร่วมของยูเครน แต่ก็ไม่ได้ให้คำมั่นว่าจะให้เข้าร่วมเมื่อไหร่ สถานะของยูเครนที่มีต่อ NATO ขณะนี้จึงอยู่ในสถานะ Waiting List เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะ NATO ยังไม่ต้องการราดน้ำมันลงกองเพลิงแห่งความโมโหของปูติน ที่กำลังคิดว่าตนกำลังเสียดินแดน (ที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพโซเวียต) ไปให้กับฝั่งสหรัฐฯ และ NATO

รวมถึงสหรัฐฯ เอง ยังไม่อยากถูกมองว่า ตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนยูเครนเข้าร่วม NATO เพราะเมื่อรัสเซียโกรธ ย่อมลงกองกำลังทหารประชิดพรมแดน และนั่นหมายถึงสหรัฐฯ เองก็ต้องเร่งส่งกองกำลังและเงินสนับสนุนเข้าไปใน NATO เพิ่มขึ้น

แม้จะไม่ได้ส่งทหารเข้าร่วมรบโดยตรง แต่ก็ให้การสนับสนุนยูเครนในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ การฝึกทหาร และข่าวกรองทางทหาร ทำให้ยูเครนสามารถต้านทานกองทัพรัสเซียได้นานกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะในช่วงแรกที่กองกำลังยูเครนสามารถรักษาพื้นที่สำคัญและขัดขวางการรุกของรัสเซียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความช่วยเหลือจาก NATO ไม่เพียงแค่ทำให้ยูเครนสามารถต่อสู้ได้อย่างต่อเนื่อง แต่ยังเป็นสัญญาณเตือนถึงรัสเซียว่า NATO ยังคงมีบทบาทสำคัญในการปกป้องเสถียรภาพของยุโรป

สงครามรัสเซีย-ยูเครนนี้ ส่งผลกระทบหนักทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และมนุษยธรรม ประชาชนกว่า 14 ล้านคน ต้องอพยพออกจากยูเครนไปยังประเทศเพื่อนบ้านและพื้นที่อื่นในประเทศตัวเอง ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ฝ่ายรวมกันสูงกว่า 500,000 คน

เมืองสำคัญหลายแห่งถูกทำลาย และราคาพลังงานในยุโรปพุ่งสูงขึ้นจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย ซึ่งทำให้เศรษฐกิจยุโรปต้องเผชิญกับภาวะถดถอย ค่าความเสียหายทางเศรษฐกิจที่ยูเครนได้รับคาดว่าอยู่ที่กว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่รัสเซียเองก็สูญเสียมูลค่าการค้ากับชาติตะวันตกไปมหาศาล

ในขณะเดียวกัน เขตดอนบาสยังคงเป็นพื้นที่สู้รบหลักที่ทั้ง 2 ฝ่ายพยายามแย่งชิงกันอย่างดุเดือด เมืองอย่างบัคมุตและมารีอูปอล กลายเป็นสนามรบที่มีการปะทะกันอย่างต่อเนื่อง บ้านเรือนและสาธารณูปโภคถูกทำลายจนแทบไม่เหลือเค้าเดิม การสู้รบที่ยืดเยื้อทำให้เกิดปัญหาด้านมนุษยธรรมอย่างรุนแรง ประชาชนในพื้นที่ต้องเผชิญกับความอดอยาก ขาดแคลนอาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค และไฟฟ้า

หลายเมืองในดอนบาสถูกทำลายแทบสิ้นซาก และประชากรจำนวนมากต้องอพยพไปยังรัสเซียหรือพื้นที่ที่ปลอดภัยกว่าในยูเครน ข้อมูลจากสหประชาชาติระบุว่ามีผู้ลี้ภัยจากยูเครนมากกว่า 6.5 ล้านคนในต่างประเทศ และอีกหลายล้านคนต้องอพยพภายในประเทศตัวเอง ขณะที่ประชาชนในดินแดนที่รัสเซียยึดครองต้องเผชิญกับการถูกกดดันให้รับสัญชาติรัสเซีย และอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบของมอสโกโดยสมบูรณ์

มัสก์-สว. เรียกร้อง "สหรัฐฯ" ถอนตัว NATO

2 มี.ค.2025 อีลอน มัสก์ ผู้ก่อตั้ง Tesla และ SpaceX เห็นด้วยกับแนวคิดที่ให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก NATO และสหประชาชาติ (UN) โดยเขาทวีตว่า "เห็นด้วย" กับโพสต์ที่เขียนว่า "ถึงเวลาที่สหรัฐฯ จะออกจาก NATO และ UN แล้ว" และเจ้าพ่อเทคโนโลยีอันดับ 1 ของโลกยังได้รับการสนับสนุนจาก สว.ไมค์ ลี จากยูทาห์ ที่เห็นว่าสหรัฐฯ กำลังใช้ทรัพยากรในการปกป้องยุโรป แต่แทบไม่ได้รับการปกป้องจาก NATO เลย 

NATO เป็นข้อตกลงที่ดีสำหรับยุโรปแต่ไม่คุ้มค่าสำหรับอเมริกา จงเอาเราออกจาก NATO

คำพูดของมัสก์และวุฒิสมาชิก ลี เกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลของทรัมป์กำลังแสดงท่าทีว่าอาจจะหันหลังให้กับพันธมิตรเก่าแก่ รวมถึงอนาคตของสหรัฐฯ กับ NATO แม้ว่าทรัมป์ยังคงพูดคุยกับผู้นำ NATO เช่น นายกฯ สหราชอาณาจักร คีร์ สตาร์เมอร์ และ ปธน.ฝรั่งเศส แอลมานูเอล มาครง และเพิ่มปะทะคารมกับ ปธน.ยูเครน โวโลดีมีร์ เซเลนสกี และยังคงเรียกร้องให้ประเทศสมาชิก NATO ใช้งบประมาณด้านการทหารเพิ่มขึ้น โดยขอให้ทุกประเทศใช้งบประมาณร้อยละ 5 ของ GDP สูงกว่าระดับที่ตั้งไว้ในปัจจุบันที่ร้อยละ 2 และไม่มีสมาชิกใดทำได้ตามเป้าหมายนี้ แม้กระทั่งสหรัฐฯ เองด้วย

ในอนาคต NATO อาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางของการเมืองโลก โดยเฉพาะในบริบทของการต่อต้านการขยายอิทธิพลของรัสเซีย และ การสร้างสมดุลระหว่างการสนับสนุนพันธมิตรในยุโรปกับการรักษาความมั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และพันธมิตรอื่น ๆ

ความคิดเห็นที่มีต่อนาโตจากบางบุคคลเช่น อีลอน มัสก์ และบางสมาชิกในสภาคองเกรสที่เรียกร้องให้สหรัฐฯ ถอนตัวจาก NATO เป็นการสะท้อนถึงการทบทวนบทบาทของสหรัฐฯ ในการสนับสนุนพันธมิตรยุโรปและความคุ้มค่าในการมีส่วนร่วมในพันธมิตรนี้ในอนาคต โดยที่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจจะนำไปสู่การปรับปรุงกลยุทธ์และการจัดการทางการทูตในระดับโลก

รู้หรือไม่ : ปัจจุบันสมาชิก NATO มีทั้งหมด 32 ประเทศ คือ สหรัฐฯ แคนาดา และอีก 30 ประเทศที่อยู่ในทวีปยุโรป

อ่านข่าวอื่น :

วิปรัฐบาลขอแค่ 1 วันเพียงพอซักฟอก "นายกรัฐมนตรี"

"Anora" คว้าภาพยนตร์ยอดเยี่ยม งานประกาศรางวัล Oscars 2025

ข่าวที่เกี่ยวข้อง