กรณีองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกและผู้อำนวยการโรงพยาบาลทหารผ่านศึก แจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มเจ้าหน้าที่หลังพบพฤติการณ์ร่วมกันทุจริตเบิกจ่ายยากลุ่มโรคไม่ติดต่อ-เรื้อรัง หรือกลุ่ม NCD ที่อยู่นอกบัญชียาหลักและมีราคาแพง เพื่อนำไปจำหน่าย ซึ่งจากหลักฐานพบว่ามีผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้องไม่ต่ำกว่า 20 คนและเชื่อได้ว่าทำลักษณะนี้มานานกว่า 10 ปี
เมื่อวันที่ 3 มี.ค.2568 นางแพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า กรมบัญชีกลางอยู่ระหว่างติดตามคดีดังกล่าวอย่างใกล้ชิด และแจ้งให้ฝ่ายกฎหมายเตรียมฟ้องร่วมเรียกค่าเสียหายคืน แต่ต้องรอให้หน่วยงานต้นสังกัดสั่งลงโทษทางวินัยก่อน
พร้อมยอมรับว่าการใช้สิทธิ์สวัสดิการค่ารักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัวมีช่องโหว่ เนื่องจากสามารถใช้สิทธิ์ต่างแพทย์ต่างโรงพยาบาลได้ และยังมีแพทย์ที่จ่ายยาตามใบสั่งโดยไม่ได้ตรวจรักษาจริง ประกอบกับกระบวนการตรวจสอบการใช้งบฯ ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ ยังเป็นแบบ post audit แต่กรมฯ ไม่มีแนวคิดทบทวนเกณฑ์การให้สิทธิ์ดังกล่าว เพราะถือเป็นการรอนสิทธิ์ผู้ที่ไม่ได้ทำความผิด แต่จะมุ่งหาแนวทางป้องกันปัญหาให้รัดกุม
ทั้งนี้ในปีงบประมาณ 2567 รัฐบาลมีภาระงบประมาณกรณีรายการรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลข้าราชการและครอบครัว สูงกว่า 100,000 ล้านบาท เนื่องจากผู้ใช้สิทธิ์ส่วนใหญ่อายุเกิน 60 ปี ซึ่งจำเป็นต้องเข้ารับการรักษา ประกอบกับค่ารักษาพยาบาลปัจจุบันสูงขึ้น

ชี้ช่องโหว่ "ไม่เชื่อมข้อมูล" ต้นตอปัญหาทุจริตยา
ขณะที่ ภก.วรวิทย์ กิตติวงศ์สุนทร อดีตรองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ในฐานะประธานมูลนิธิวิทยาลัยการคุ้มครองผู้บริโภค ด้านยาและสุขภาพ ระบุว่า การทุจริตเบิกจ่ายยาส่วนใหญ่เป็นกลุ่มยาที่มีราคาแพง ยากลุ่มโรคเรื้อรังสำหรับผู้ป่วยนอก ซึ่งจ่ายยาในปริมาณมากเพื่อลดจำนวนครั้งในการเข้าพบแพทย์
ยาลดไขมันในเลือด อยู่ในกลุ่มยารักษาโรคไม่ติดต่อที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก เช่นเดียวกับยารักษาเบาหวาน ความดัน ซึ่งมีตัวยาทั้งในบัญชียาหลักและยานอกบัญชี หากแพทย์สั่งว่าจำเป็นต้องใช้ ซึ่งช่องโหว่การเบิกจ่ายยานำไปสู่การทุจริตของสิทธิ์เบิกตรงข้าราชการ คือการไม่เชื่อมโยงข้อมูลในระบบเบิกจ่ายยาของโรงพยาบาล ทำให้มองไม่เห็นประวัติ ผู้ป่วยมักเบิกยาหลายครั้ง จนถึงทำเป็นขบวนการเช่นกรณีนี้
อดีตรองอธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ระบุอีกว่า ระยะหลัง กรมบัญชีกลางเข้มงวดตรวจสอบระบบเบิกจ่ายสิทธิ์ข้าราชการมากขึ้น โรงพยาบาลใดเบิกจ่ายมาก 20 อันดับแรกจะเรียกผู้บริหารไปชี้แจง ทำให้ลดการทุจริตได้
สปสช.พัฒนาระบบเชื่อมข้อมูล แก้ปัญหาทุจริตยา
ด้านสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นอีกหน่วยงานที่ตรวจสอบพบการทุจริตการเบิกจ่ายยา โดย นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการ สปสช. ระบุว่า สปสช.มีหน้าที่จัดสรรงบประมาณให้แต่ละโรงพยาบาลนำไปบริหารจัดการซื้อยา ซึ่งอำนาจหน้าที่การจัดซื้อขึ้นอยู่กับโรงพยาบาล
แต่ สปสช.มีอำนาจตรวจสอบกรณีผู้ใช้บริการเบิกจ่ายยาเกินจำเป็น ที่ผ่านมามีการดำเนินคดีไปแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นยากึ่งฉุกเฉิน เช่น ยาพ่นจมูก ยาขยายหลอดลม โดยผู้ใช้บริการจะมาใช้บริการช่วงนอกเวลาราชการ เพราะระบบตรวจสอบยากกว่าช่วงเวลาปกติ เนื่องจากกรณีฉุกเฉินสามารถรับบริการที่หน่วยบริการสาธารณสุขได้ทุกที่
ส่วนแนวทางการป้องกัน ปัจจุบันได้พัฒนาระบบให้เชื่อมต่อกันทุกโรงพยาบาลและแพทย์จะมีข้อสังเกตเมื่อเห็นความผิดปกติ
อ่านข่าว
รพ.ทหารผ่านศึก แจ้งความขบวนการทุจริตรับยา พบ ขรก.ระดับสูงเอี่ยว