ระหว่างทางของการเดินหน้าโครงการแจกเงิน 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ถูกทักท้วงถึงความคุ้มค่าของเม็ดเงินงบประมาณมาโดยตลอด หากนับรวมโครงการฯ ตั้งแต่เฟสแรกจนถึงเฟสที่ 3 รวมๆ แล้วใช้งบประมาณกว่า 200,000 ล้านบาท แต่หลายฝ่ายประเมินว่ายังไม่เห็นภาพการเติบโตที่ชัดเจนตามที่รัฐบาลบอกไว้ อีกทั้งหลายสถาบันยังปรับลด GDP ปีนี้อาจโตไม่ถึงร้อยละ 3 จึงไม่แปลกที่เสียงทักท้วงเรื่องความคุ้มค่าจะดังไม่หยุด
โครงการแจกเงิน 10,000 บาทเฟสแรก แจกให้กับกลุ่มเปราะบางและคนพิการ 14.5 ล้านคน งบประมาณ 145,000 ล้านบาท ส่วนเฟสที่ 2 แจกให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป เป้าหมาย 3 ล้านคน งบประมาณ 30,000 ล้านบาท

ล่าสุด เฟส 3 แจกผ่านดิจิทัลวอลเล็ต กลุ่มอายุ 16-20 ปี เป้าหมาย 2.7 ล้านคน งบประมาณ 27,000 ล้านบาท จึงไม่แปลกที่โครงการนี้ถูกตั้งคำถามด้วยขนาดเม็ดเงินที่ลดลง จะพอช่วยพยุงเศรษฐกิจให้ขยายตัวตามเป้าที่รัฐบาลตั้งไว้หรือไม่
ย้อนดูตัวเลขที่กระทรงการคลังเคยประเมินไว้กับโครงการแจกเงินหมื่น 2 เฟสที่ผ่านมา เฟสแรกเม็ดเงินที่ลงไปมีผลต่อการขยายตัวเศรษฐกิจ (GDP) ร้อยละ 0.3 ขณะที่เฟสที่ 2 มีผลต่อ GDP เพียงร้อยละ 0.1
ขณะที่ธนาคารโลกมีการประเมินแรงส่งจากมาตรการแจกเงิน 10,000 บาท โดยเฉพาะในเฟสที่ 1 ที่ใช้งบมากสุด แลกมาด้วยต้นทุนทางการคลังที่สูง คิดเป็นร้อยละ 0.8 ของ GDP แต่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงร้อยละ 0.3 ส่วนเฟสที่ 3 จะมีแรงส่งเพียงพอในการกระตุ้นเศรษฐกิจและคุ้มค่ากับงบประมาณที่ลงไปหรือไม่ ยังต้องรอเวลาประเมินผล

อ่านข่าว : "บอร์ดเศรษฐกิจ" เคาะแจกเงินหมื่นเฟส 3 กลุ่มอายุ 16-20 ปี ไตรมาส 2-3 ปีนี้
แม้กระทรวงคลังยืนยันว่า การแจกเงินในเฟสที่ 3 จะมีประสิทธิภาพมากกว่าเฟสที่ผ่านมา เพราะจะเริ่มใช้ดิจิทัลวอลเล็ต สามารถกำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายได้และปลดล็อก Negative List หวังจะให้กลุ่มเป้าหมายที่ส่วนใหญ่อยู่ในวัยเรียนไปซื้ออุปกรณ์การศึกษา-จ่ายค่าเทอมได้
แต่ ศ.พรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า โครงการยิ่งเดินมาไกลยิ่งผิดโจทย์ กลายเป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพแค่ระยะสั้นและไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจ
"เป็นการช่วยเหลือค่าครองชีพมากกว่า แทนที่จะเป็นเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ เวลาแถลงข่าวเขาจะเน้นว่าเอาไปจ่ายค่าเทอม ไปจ่ายค่าภาระของผู้ปกครอง เพราะฉะนั้นมันเป็นสวัสดิการ ความหวังเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจในรอบนี้ก็คงไม่น่าจะมีมากเท่าไหร่ การแจกเงินเป็นน้ำพริกละลายแม่น้ำ ได้ผลเฉพาะระยะสั้น แม้กระทั่งระยะสั้นก็ยังไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้นอย่าไปหวังผลระยะยาวจากโรงการประเภทนี้"

ศ.พรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศ.พรายพล คุ้มทรัพย์ อดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มุมมองแจกเงิน 10,000 ถึงคิวเฟสวัยรุ่น
แต่อีกมุม กลุ่มคนที่เข้าเกณฑ์ได้รับสิทธิ์ในรอบนี้กำลังรอคอยที่จะนำเงินไปใช้จ่าย เช่นเดียวกับกลุ่มวัยรุ่นอายุ 16-20 ปีใน จ.เชียงใหม่ บางคนคาดหวังว่าเงิน 10,000 บาทจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในครอบครัว
น.ส.พิมพ์ชนก ปู่หล้า นักศึกษาวิทยาลัยเทคโนโลยีโปลิเทคนิคลานนาเชียงใหม่ กล่าวว่า ตนเองเรียนด้านการตลาดและจะนำเงินก้อนนี้ไปซื้อของเกี่ยวกับการเรียน เช่น ไฟไลฟ์สด อุปกรณ์ในการตกแต่งการถ่ายรูป เป็นต้น ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระการเงินของเราได้ส่วนหนึ่ง
ส่วนนายศิวกร ปลอดสิริกุล นักศึกษาใน จ.นครราชสีมา มีความกังวลสำหรับเยาวชนที่ได้รับสิทธิ์ แต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ อาจนำเงินไปใช้ในทางที่ไม่เกิดประโยชน์ โดยมองว่ามี 2 มุม คือคนที่เอาเงินไปใช้ประโยชน์จริงๆ หรือคนที่อาจจะเอาเงินไปใช้ซื้อของที่อยากได้ เช่น เติมเกมส์ หรือนำไปใช้ในทางที่ไม่ดี
ขณะที่ น.ส.ปิยนุช สมบูรณ์ นักศึกษา จ.นครราชสีมา เห็นว่าการแจกเงิน 10,000 บาทให้กับกลุ่มวัยรุ่นมีทั้งข้อดีและไม่ดี แม้ว่าจะได้รับเงินมาใช้ แต่ก็อาจจะสร้างภาระให้กับประเทศได้

ฝั่งร้านค้า แม่ค้าในเขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ ระบุว่า การแจกเงินหมื่นตั้งแต่เฟส 1 และเฟส 2 ที่ผ่านมา ไม่ได้รู้สึกว่าเศรษฐกิจดีขึ้นเพราะยังค้าขายได้เท่าเดิม ลูกค้าส่วนใหญ่ก็นำไปใช้หนี้ ไม่ได้นำมาซื้อของบริโภค ขณะที่เจ้าของร้านชำขนาดเล็กในหลายจังหวัด มองว่าโครงการที่ผ่านมาใช้เวลาในการแลกเงินสดออกมาใช้จ่าย ทำให้เงินทุนจมกับสินค้า และโครงการในเฟสที่ 3 อาจไม่ได้ส่งผลดีต่อร้านค้าขนาดเล็ก
นายสมจิตร คาพิจารย์ เจ้าของร้านขายของชำ จ.ชัยนาท ระบุว่า ร้านค้าชุมชนส่วนใหญ่ไม่ได้รับเงินดิจิทัลเพราะใช้ยาก แต่อาจส่งผลดีกับห้าง ร้านใหญ่ๆ หรือยี่ปั้วมากกว่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องคาดหวังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่
เช่นเดียวกับ พรรณี คูหะมณี แม่ค้าตลาดศิริวัฒนา จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า โครงการคนละครึ่งยังมีเงินมาถึงแม่ค้า เพราะมีลูกค้ามาจับจ่ายซื้อของ แต่โครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่เห็นเม็ดเงินและไม่เห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งผ่านมา 2 เฟสแล้วเห็นชัดเจนว่าไม่ดีขึ้น

มีข้อมูลจาก KKP Research โดยกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ประเมินสถานการณ์หนี้สาธารณะของไทยมีโอกาสแตะระดับ 70% ต่อ GDP ในอีก 2 ปีข้างหน้า หากรัฐบาลใช้งบประมาณไม่ถูกจุด ในภาวะที่เศรษฐกิจมีความเสี่ยงจากการจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้า และการใช้จ่ายของรัฐบาลมากกว่าปีที่แล้วประมาณ 290,000 ล้านบาท ส่งผลให้รัฐบาลต้องกู้ขาดดุลงบประมาณกว่า 410,000 ล้านบาท กลายเป็นความเสี่ยงทางการคลังในปีนี้เพิ่มสูงขึ้น
แม้จะมีเสียงท้วงมาตลอดทางของการแจกเงิน แต่รัฐบาลยังย้ำว่ามีกระสุนเพียงพอ เหลืออีก 150,000 ล้านบาท ต้องจับตาว่างบส่วนนี้จะถูกนำมาแจกเงินในเฟส 4 ในรูปแบบไหน
แต่กลุ่มเป้าหมายเงินหมื่นเฟส 3 รอบนี้อายุต่ำสุด 16 ปี หากนับอีก 2 ปีกลุ่มนี้จะอายุ 18 ปี เป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรก ตรงกับช่วงเดียวกันกับที่รัฐบาลครบเทอม นอกจากหวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทุ่มงบกับกลุ่มนี้ก็อาจจะพอซื้อใจวัยรุ่นได้บ้าง
อ่านข่าว
"พิพัฒน์" ดันค่าแรง 400 ทั่วประเทศ ฝากบอร์ดไตรภาคีถก 12 มี.ค.
วัยสร้างครอบครัว “แบกหนี้” มากสุด ทีทีบีชี้คนไทยมี “รายได้โตไม่ทันรายจ่าย”
"สุริยะ" สั่งลดค่าตั๋วเครื่องบินในประเทศ 30% เริ่มจอง 11-20 มี.ค.นี้ บินจริง 11-17 เม.ย.