ข้อมูลโครงการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก ปีงบประมาณ 2560-2568 (ต.ค.67-ม.ค.68) มีหลายข้อสังเกตที่น่าสนใจ ระหว่างปี 2560-2567 พบมีการจัดซื้อถึง 17,369 โครงการ วงเงินงบประมาณรวม 2,539 ล้านบาท เฉพาะการจัดซื้อยา 13,668 โครงการ วงเงินงบประมาณ 1,606 ล้านบาท หรือร้อยละ 78.7 ของจำนวนโครงการทั้งหมด
ยาที่มีการใช้มากที่สุด เรียงลำดับจากมากไปหาน้อยมีดังนี้ ยารักษาอาการประสาทส่วนปลาย Pregabalin, ยาลดไขมันในเส้นเลือด เช่น Pravastatin, Atorvastain, Xarator, Ezetimibe, ยาที่ใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากโต Alfuzosin, Tamsulosin, ยาป้องกันโรคกระดูกพรุน Ibandronic acid, Denosumab, Teriparatide
ยาที่ใช้ต้านการอักเสบ Caledonia, Celebrex, ยาที่ใช้รักษาความดันโลหิตสูง เช่น Manidipine-HCL, Doxazosin, ยาที่ใช้รักษาอาการสมองเสื่อม เช่น Donepezil-HCL, ยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวาน Ozempic, ยาที่ใช้รักษาโรคโลหิตจาง, ไตวายเรื้อรัง Epoetin-Beta, Eprex Teststerone และยาที่ใช้รักษาโรคเบาหวานประเภทที่ 2 ซึ่งพบอยู่หลายตัว Gliclazide, Glucoba, Sitagliptin, Galvus

ข้อมูลตัวยาที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึกจัดซื้อ พบหลายชนิดที่ใช้รักษาโรคสอดคล้องกับตัวยาที่ถูกเบิกออกไปเพื่อรักษาอาการ “ป่วยทิพย์” ของคนไข้ที่ถูกอุปโลกน์ให้ มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง ทำให้ต้องเข้ารับการตรวจ และมีคำสั่งจ่ายยาจากแพทย์ผู้ตรวจวินิจฉัย เป็นขบวนการป่วยทิพย์ทุจริตรับยา สร้างความเสียหายมูลค่ากว่า 1.6 พันล้านบาท
พ.ต.ท.สิริพงษ์ ศรีตุลา ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) กล่าวว่า ขบวนการนี้เป็นเรื่องการใช้สิทธิเบิกตรงกับกรมบัญชีกลาง ส่วนใหญ่ผู้กระทำผิดหรือผู้เกี่ยวข้อง 100 เปอร์เซ็นต์เป็นทหารระดับชั้นประทวน ส่วนใหญ่เกษียณราชการไปแล้ว คนกลุ่มนี้จะมี ครอบครัว เมีย ลูก ญาติ ๆ หรือใครก็ตามที่มีสิทธิก็จะระดมคนพวกนี้ให้ไปเข้ารับการรักษาพยาบาลที่ รพ.ทหารผ่านศึก โดยมี "แม่ข่าย" ทำหน้าที่ไปหาลูกทีมมา 10-15 คน
คนพวกนี้จะป่วยทิพย์ คือ ไม่ได้ป่วยจริง เมื่อไปตรวจก็จะขอยา หมอก็จ่ายยา เช่น ยาละลายลิ่มเลือด ยากระเพาะ ยาต้านอาการซึมเศร้า ซึ่งยาที่จ่ายออกมาส่วนใหญ่ เป็น ยานอกบัญชียาหลักและมีราคาสูง
ตามปกติขั้นตอนในการรักษาโรคทั่วไป ทุกครั้งก่อนเข้ารับการรักษา ผู้ป่วยทุกคนต้องตรวจวัดความดัน เจาะเลือดก่อน แพทย์จึงจะวินิจฉัยและจ่ายยาในบัญชียาหลักให้ แต่กรณีที่รักษาแล้วไม่ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงจะจ่ายตัวยานอกบัญชียาหลัก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการกระทำข้ามทุกขั้นตอน
กล่าวคือ มีการเซ็ตผลเลือด โดยก่อนที่ผู้ป่วยทิพย์จะเข้ารับการตรวจก็มีจุดพักรถเพื่อให้รับ ประทานอาหาร ประเภท หวานๆ มันๆ มีน้ำตาลมากๆ เพื่อตรวจแล้วค่าเลือดจะได้ขึ้น จำนวนนี้มีทั้งตรวจเลือดจริง และผลเลือดมั่ว โดยผ่านการวินิจฉัยจากแพทย์คนเดียว ทั้งๆที่ รพ.มีหมอจำนวนมาก

"ถามทำแบบนี้แล้วได้อะไร เขาหรือ ผู้ป่วยทิพย์จะได้ 10 เปอร์เซ็นต์ จากบิลค่ารักษา แต่ละคนรักษาไม่ต่ำว่า 25,000 -35,000 บาท/ครั้ง ตามวงรอบพวกนี้จะมาตรวจและรับยา 3 เดือน/ครั้ง และจะทำยอดได้คนละ 100,000 บาท/ปี" พ.ต.ท.สิริพงษ์ กล่าว
การตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังพบว่า ขบวนการทุจริตเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2561 แต่ รพ.ทหารผ่านศึก ได้ตรวจพบเมื่อช่วงปลายปี 2564 และต่อมาได้ร้องทุกข์กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจนมีการสืบขยายผลจนพบข้อมูลเชื่อมโยงผู้เกี่ยวข้อง 3 กลุ่ม คือ
1.แพทย์ และเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้องในกระบวนการรักษาและเวชระเบียน ถือเป็น "ขบวนการ" ในการจ่ายยา
2.ตัวกลางเจ้าหน้าที่ทหาร ทำหน้าที่เป็น "ตัวกลาง" ระหว่างเจ้าหน้าที่ พยาบาล หมอและหัวหน้าเครือข่าย
3.กลุ่มของเครือข่าย ทั้งแม่ข่ายและลูกข่าย ทั้งหมด คือ "เจ้าหน้าที่" ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ทั้งหมด

ข้อมูลจาก พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก.หลังนำทีมพนักงานสอบ สวนกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติชอบ (บก.ปปป.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) เข้าสอบปากคำพยานและผู้เสียหาย พบข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้องกว่า 100 คน ส่วนใหญ่เป็นทหารระดับชั้นประทวนและครอบครัว
จำนวนนี้ เป็นชาวบ้านกว่า 1,000 คน มีทั้งผู้ที่ถูกหลอก และตั้งใจเข้าร่วมขบวนการ อีกทั้งยังเข้าข่ายการค้ามนุษย์ เนื่องจากพบว่ามีผู้เสียชีวิต
โดย "แม่ข่าย" หรือ "บอส" แต่ละคนจะมีเครือข่ายของตัวเองเฉพาะ "ลพบุรี" จังหวัดเดียวพบว่ามี 6 เครือข่าย หนึ่งเครือข่ายมีลูกทีมประมาณ 100 คน หรือจะมีคนประมาณ 600 คน ที่จะแวะเวียนกันเข้ามารักษาโดยที่ไม่ได้ป่วยจริง
การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ยังพบอีกว่า "แม่ข่าย" หรือ "บอส" บางรายใช้ความเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหาเครือข่าย "คนรู้จัก" ที่เป็นอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ให้เข้าร่วมขบวนการดังกล่าว จากเดิม "รับจ้าง" ป่วยทิพย์ ต่อมาผันตัวเป็น "นายหน้า" จัดหาผู้ป่วยทิพย์ โดยได้รับค่าหัวรายละ 500 บาท

ขณะที่ข้อมูลด้านหนึ่งจาก "ลูกข่าย" ที่ถูกกันเป็นพยานระบุว่า ครอบครัวเข้าร่วมขบวนการตั้งแต่ปี 2566 และได้รับค่าตอบแทนจากเอายารักษาอาการเบาหวานและความดันไปแลกครั้งละ 2,000-3,000 บาท โดยการเข้าพบแพทย์จะมีการซักซ้อมข้อมูลก่อนทุกครั้ง เพื่อให้ได้ยาตามที่ต้องการ
สำหรับยาที่ผู้ป่วยทิพย์ได้รับมาจะถูกนำไปขายให้กับนายทหารหญิง ยศ " พ.อ." ซึ่งเป็น "ตัวกลาง" ขณะนี้ยังไม่ทราบว่า แหล่งจำหน่ายอยู่ที่ไหน และขายอย่างไร โดย พ.อ.หญิงคนนี้จะจ่ายเงินให้กับตัวแม่ข่าย ว่า ยอดรวมเท่าไหร่ จากนั้นแม่ข่ายจะนำเงินไปจ่ายสดให้ "ลูกข่าย" ที่ตัวเองขนมา
โดยแม่ข่ายจะได้เงินจาก พ.อ.หญิงคนนี้หัวละ 1,500 บาท ส่วนลูกข่ายทั้งหมด ได้จากยอดใบเสร็จ 10-15 เปอร์เซ็นต์ ขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่ามี "หัว" หรือมาสเตอร์มายด์ อยู่เบื้องหลังหรือไม่ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสืบสวนขยายผล เพราะคดีมีความซับซ้อนจำเป็นต้องใช้เทคนิคในการสอบสวน
การจ่ายยา แพทย์ต้องให้ความเห็น โดยประเด็นนี้จะสัมพันธ์กับการปฏิบัติหน้าที่ของแพทย์ ทั้งความรู้ทางวิชาการ หลักการแพทย์ และธรรมนูญการแพทย์ที่ดูเจตนาว่า ร่วมกันทุจริตเป็นขบวนการหรือไม่

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ได้ตั้งข้อสังเกตว่า โรงพยาบาลทหารผ่านศึก เพียงแห่งเดียว แต่ "บอส" สามารถระดมคนได้มากขนาดนี้ ใช้ฐานข้อมูลจากไหน ให้แม่ข่ายไปติดต่อ และแม่ข่ายจะทราบได้อย่างไรว่า ใครมีสิทธิเบิก-จ่ายบ้าง
"ยังตอบไม่ได้ว่ามีบริษัทยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ เพราะขั้นตอนตรวจสอบปัจจุบัน คือ การเบิกจ่ายตามข้อมูลทางการแพทย์ ซึ่งพบว่า มีการจ่ายยาชนิดที่เรียกว่า หมดโรงพยาบาล...ส่วนการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้เกี่ยวข้อง ได้เริ่มแล้วจากนี้จะเห็นความชัดเจนว่า เชื่อมโยงกับใครบ้าง ทั้งหมดเป็นแผนประทุษกรรมเบื้องต้นที่พบ" แหล่งข่าวทิ้งท้าย
อ่านข่าว : กังขาปมตายครอบครัว "อดีตผู้กำกับโจ้" ร้องดีเอสไอเคลียร์
รู้จักระบบ CARE ปฏิรูป "บำนาญประกันสังคม" เป็นธรรมและยั่งยืน