ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

โกหกทั้งประเทศ! ลุง 50 ปีขอโทษ กุเรื่องเมียท้องติดใต้ซากตึกถล่ม

อาชญากรรม
1 เม.ย. 68
12:54
785
Logo Thai PBS
โกหกทั้งประเทศ! ลุง 50 ปีขอโทษ กุเรื่องเมียท้องติดใต้ซากตึกถล่ม
อ่านให้ฟัง
05:43อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
ชายวัย 50 ยกมือขอโทษ หลังโกหกอ้างภรรยาท้อง 4 เดือนติดใต้ซากตึก สตง. ที่ถล่มจากแผ่นดินไหว ยืนยันไม่มีเจตนาหลอกลวง ตร.พบรับเงินบริจาค 10,000 บาท และแอบอ้างบัตรพนักงานสาววัย 25 ปี เตรียมดำเนินคดีทุกข้อกล่าวหา ถือความผิดสำเร็จแล้ว

เมื่อวันที่ 31 มี.ค.2568 จากกรณีที่ชายอายุ 50 ปี ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเมื่อวันที่ 28 มี.ค. หลังเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงจากเมียนมาส่งผลให้อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ย่านจตุจักรที่อยู่ระหว่างก่อสร้างถล่ม โดยอ้างว่า "ภรรยา" วัย 24 ปี ตั้งครรภ์ 4 เดือน ติดอยู่ใต้ซากอาคาร และตนเฝ้ารอที่จุดเกิดเหตุตั้งแต่วันแรก เรื่องราวดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจให้ประชาชนทั่วประเทศ จนกระทั่งมีผู้หลงเชื่อบริจาคเงินช่วยเหลือ 10,000 บาทผ่านการไลฟ์สด

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 31 มี.ค.2568 ความจริงปรากฏ เมื่อ หญิงสาวอายุ 25 ปี เดินทางเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อ หลังพบว่าชายวัย 50 ปีนำบัตรพนักงานของเธอไปแอบอ้างว่าเป็นภรรยาที่ทำงานเป็นเสมียนในโซนออฟฟิศชั้น 4 ของตึก สตง. และติดอยู่ใต้ซากอาคาร

โดย หญิงอายุ 25 ยืนยันว่าเธอเลิกทำงานกับบริษัทนั้นตั้งแต่ปี 2562 และไม่เคยรู้จักชายในข่าวมาก่อน การกระทำนี้สร้างความเสียหายต่อชื่อเสียงและทำให้ครอบครัวของเธอตกใจ คิดว่าเธอเสียชีวิตจริง

ต่อมา พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เปิดเผยว่าได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลการสืบสวนพบว่า ชายวัย 50 ให้ข้อมูลเท็จทั้งหมด ไม่มีภรรยาท้อง 4 เดือนตามที่อ้าง และยังมีพฤติกรรมหลบหนีไปยังหมอชิตด้วยรถจักรยานยนต์ ช่วงเย็นวันที่ 31 มี.ค. หลังเริ่มเป็นข่าวว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นการโกหก

จากการตรวจค้นตัว พบบัตรพนักงานบริษัทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นของหญิงวัย 25 โดยชายวัย 50 อ้างว่าเก็บได้บริเวณถนนลาดพร้าวและนำมาพกติดตัวเพื่อใช้แอบอ้างว่าเป็นภรรยาของตน ซึ่งตำรวจพิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจริง นอกจากนี้ ยังพบว่าเขารับเงินบริจาค 10,000 บาทจากผู้ที่หลงเชื่อผ่านการไลฟ์สด แม้จะคืนเงินทั้งหมดไปแล้ว แต่ตำรวจแจ้งข้อหาเพิ่มเติมในฐานะ ฉ้อโกง ซึ่งความผิดสำเร็จแล้ว

หลังถูกควบคุมตัว ชายวัย 50 ให้การกับพนักงานสอบสวน โดยยอมรับว่าเรื่องทั้งหมดไม่เป็นความจริง และยกมือไหว้ขอโทษทั้งผู้เสียหาย สื่อมวลชน และประชาชนทั่วไป พร้อมยืนยันว่าไม่มีเจตนาจะหลอกลวง อย่างไรก็ตาม พล.ต.ต.นพศิลป์ ระบุว่า ตำรวจจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดในทุกข้อหาที่พบ 

ทั้งนี้ พล.ต.ต.นพศิลป์ ฝากเตือนประชาชนว่า การใช้สถานการณ์ภัยพิบัติหรือวิกฤตมาเป็นเครื่องมือหากิน โดยการหลอกลวงเพื่อสร้างความสงสารหรือรับบริจาค เป็นพฤติกรรมที่ผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นการฉ้อโกงประชาชน หรือการเผยแพร่ข้อมูลเท็จผ่านสื่อ ซึ่งอาจเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 และขอให้ประชาชนระวังการใช้โอกาสเช่นนี้ในทางที่ผิด

ด้านฝ่ายหญิงที่ถูกนำชื่อไปใช้ ระบุว่า ตกใจมากที่ชื่อถูกนำไปแอบอ้าง ครอบครัวของเธอถึงกับหวาดกลัวว่าลูกสาวเสียชีวิตจริง จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความทันที 

จากการตรวจสอบประวัติชายวัย 50 พบว่า ในปี 2558 เคยถูกดำเนินคดีในข้อหา ขับรถขณะเมาสุรา ซึ่งแสดงถึงพฤติกรรมที่เคยฝ่าฝืนกฎหมายมาก่อน อย่างไรก็ตาม การโกหกครั้งนี้ถือว่าร้ายแรงกว่า เนื่องจากเกิดในช่วงวิกฤตแผ่นดินไหวที่ประชาชนกำลังตื่นตระหนกและต้องการความช่วยเหลืออย่างแท้จริง ยิ่งในวันนี้ (1 เมย.2568) ตรงกับวัน April Fool’s Day

การโกหกในสถานการณ์ฉุกเฉินยิ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะอาจสร้างความสับสนและความเสียหายเพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีในข้อหา หมิ่นประมาท, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14, และ การโกหกจนประชาชนตื่นตระหนกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 384 ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

อ่านข่าวอื่น :

ทุนจีนสวมบริษัทก่อสร้างไทย กรณี “ตึก สตง.ถล่ม”

กทม.จ่อลดระดับเขตประสบสาธารณภัย-ระงับใช้เครน 201 ไซต์ก่อสร้าง

ข่าวที่เกี่ยวข้อง