วันนี้ ( 10 เม.ย.2568) นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลงอยู่ที่ระดับ 56.7 เป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในรอบ 6 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยและทั่วโลกปรับตัวลดลง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลแต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
โดย ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 50.5 54.2 และ 64.4 ตามลำดับ ปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนก.พ. ที่อยู่ในระดับ 51.5 55.2 และ 66.7 ตามลำดับ
ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ และค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงจากสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง

อย่างไรก็ตาม ยังงต้องจับตาในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย. ว่า เศรษฐกิจจะมีการซึมตัวหรือไม่ หลังทรัมป์ มีการขยายการขึ้นภาษีตอบโต้ทุกประเทศโดยขยายออกไป 90% ดังนั้น การเก็บภาษีนำเข้าไทย 36% จะยังไม่มีผล โดยขณะนี้ ยังมีผลเฉพาะการประกาศขึ้นภาษี 10% เมื่อวันที่ 5 เม.ย. ที่ผ่านมา
ตอนนี้ทุกประเทศถูกสหรัฐขึ้นภาษี 10% ส่งผลให้การค้าทั่วโลกมีความระมัดระวังมากขึ้น สิ่งที่ต้องจับตาคือสหรัฐและจีนที่มีสงครามการขึ้นภาษีระหว่างกัน ดังนั้นต้องติดตามว่า ทีมไทยแลนด์จะต้องเดินหน้าเจรจา ออกมาในทิศทางใด โอกาสที่สหรัฐจะลดภาษีนำเข้าจากไทย 0% เป็นไปได้ยากเนื่องจากไทยเป็นประเทศที่เกินดุลสหรัฐ

ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวอีกว่า หอการค้าฯการประเมินว่ามูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจะอยู่ที่ 1-1.5 แสนล้านบาท กระทบต่อการจีดีพีไทย 0.7-0.9% ซึ่งเป็นการคาดการณ์ในเบื้องต้น เพราะว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด
ยังต้องรอติดตามในช่วง 90 วันว่าสหรัฐจะดำเนินการอย่างไรอีกหรือไม่ รวมไปถึงการเดินหน้าเจรจาของไทย เพราะสหรัฐประกาศการขึ้นภาษีเพื่อตั้งใจให้มีการเจรจาต่อรอง เพราะโอกาสที่สหรัฐได้รับผลกระทบ หรือแรงกดดันภายในประเทศยังมี ทั้งเรื่องของเงินเฟ้อการว่างงานอยู่

อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจำเป็นจะต้องมีการเก็บข้อมูลและหารือกับทุกภาคส่วนทั้งภาคเอกชน เกษตรกร เพื่อไม่ให้มีผลกระทบรวมไปถึงการดูท่าทีระหว่างสหรัฐกับจีนด้วย ในช่วง 1-3 เดือนจากนี้ เพราะการขึ้นภาษีของสหรัฐในกว่า 60 ประเทศทั่วโลกคิดเป็น 80% ของจีดีพีโลก เพียงแค่สหรัฐ ยุโรปและจีน ก็ถือว่าเป็นกลุ่มประเทศที่มีจีดีพีโลกถึง 70%
ทั้งนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศยังเห็นว่าการเบิกจ่ายงบประมาณเป็นสิ่งที่ต้องเดินหน้า รวมไปถึงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขององค์การบริหารส่วนตำบล เพื่อให้เกิดการจ้างงาน ส่วนนโยบายการเงินก็จำเป็นจะต้องดูและหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแโดยบงก์ชาติ โดยยังเห็นว่าการลดดอกเบี้ยในตอนนี้ ยังไม่จำเป็นเร่งด่วน แต่หากจำเป็นก็ต้องมีการพิจารณารวมไปถึงการใช้นโยบายการคลังเข้ามาช่วยเหลือด้วย

การส่งออกในปีนี้มองว่ายังขยายตัว 3% ส่วนการเติบโตของจีดีพีจะอยู่ในกรอบ 2-2.5% แต่จำเป็นต้องมีการประเมินอีกครั้ง รวมไปถึงการท่องเที่ยวซึ่งคาดว่าเป้าที่ตั้งไว้จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาไทยประมาณ 38 ล้านคน มีโอกาสจะไม่ถึงจากผลกระทบที่เกิดขึ้น
ด้านนายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 ส่งผลให้ตลาดหลักทรัพย์ของไทยและทั่วโลกปรับตัวลดลง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลแต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้า

นายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
นายวาทิตร รักษ์ธรรม ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
รวมไปถึง ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงจากสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง
สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เช่น จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมากมากขึ้น การส่งออกขยายตัว ราคาน้ำมันขายปลีกลดลงราคา พืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น

ส่วนปัจจัยลบ เช่น ความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐและการตอบโต้ของต่างประเทศ ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้า ความกังวลต่อแผ่นดินไหว ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ เงินบาทอ่อนค่าลง ราคาข้าว อ้อย มันสำปะหลัง อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลต่อรายได้เกษตรกร ความกังวลต่อสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 และความกังวลต่อสถานการณ์ภัยแล้ง
อ่านข่าว:
"สงครามการค้า" ทรัมป์ ขยี้ตลาดเงิน-ทองคำ-หุ้น สะเทือนลงทุนโลก
ทางออกการค้าไทย รับมือภาษีทรัมป์ “พาณิชย์”เร่งปิด FTA ไทย-EU
แท็กที่เกี่ยวข้อง:
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค
- สงครามการค้า
- สงครามการค้ารอบใหม่
- สงครามการค้าจีนสหรัฐฯ
- สงครามการค้าโลก
- เศรษฐกิจสหรัฐ
- เศรษฐกิจโลก
- เศรษฐกิจเสียหาย
- เศรษฐกิจไทย
- เศรษฐกิจไทย2568
- ส่งออกไทย
- การส่งออกไทย
- ทรัมป์ระงับมาตรการภาษี
- ทรัมป์ขึ้นภาษี
- ทรัมป์เก็บภาษีไทย 36 %
- ทรัมป์ trump tariff
- ข่าวเศรษฐกิจวันนี้
- ข่าวเศรษฐกิจล่าสุด
- ข่าววันนี้