สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อสินทรัพย์มูลค่าสูง เช่น บ้าน ที่อยู่อาศัย หรือ รถยนต์ แต่ไม่มีเงินสดก้อนใหญ่ การกู้สินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงินมักเป็นทางเลือกที่นิยม สินเชื่อช่วยให้สามารถผ่อนชำระเป็นงวด ๆ ได้ตามกำลังทรัพย์ โดยธนาคารจะคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่กำหนด ซึ่งอาจเป็นดอกเบี้ยคงที่หรือลอยตัว
อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่อนไปสักระยะ เช่น 3-5 ปี ผู้กู้มักเผชิญกับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น หรือภาระผ่อนที่หนักเกินไป ทำให้ต้องมองหาวิธีจัดการหนี้ให้ดีขึ้น
"รีไฟแนนซ์-รีเทนชัน" ทางเลือกเมื่อครบกำหนด
เมื่อครบกำหนดระยะโปรโมชันดอกเบี้ยต่ำ เช่น 3 ปีแรกของสินเชื่อบ้าน หรือเมื่อรู้สึกว่าดอกเบี้ยเริ่มสูงเกินไป ธนาคารมักติดต่อมาเพื่อเสนอทางเลือก 2 ทาง คือ รีไฟแนนซ์ หรือ รีเทนชัน ทั้ง 2 วิธีนี้ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ให้สอดคล้องกับสถานการณ์การเงินของผู้กู้ แต่มีรายละเอียดและผลลัพธ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
รีไฟแนนซ์ คืออะไร ?
รีไฟแนนซ์ (Refinance) คือ การกู้เงินก้อนใหม่จากธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ เพื่อชำระหนี้ก้อนเดิม โดยจุดมุ่งหมายคือการได้เงื่อนไขที่ดีกว่า เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ระยะเวลาผ่อนที่นานขึ้น หรือยอดผ่อนต่อเดือนที่ถูกลง รีไฟแนนซ์มักใช้กับสินเชื่อบ้าน รถยนต์ หรือหนี้บัตรเครดิต
ขั้นตอนการรีไฟแนนซ์
- ศึกษาโปรโมชัน เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขจากหลายธนาคาร
- เตรียมเอกสาร เช่น บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน สัญญาเงินกู้เดิม สลิปเงินเดือน รายการเดินบัญชี 6 เดือน
- ยื่นขอสินเชื่อ ติดต่อธนาคารใหม่เพื่อสมัครสินเชื่อรีไฟแนนซ์
- ประเมินหลักทรัพย์ ธนาคารจะตรวจสอบมูลค่าบ้านหรือรถยนต์ที่เป็นหลักประกัน
- อนุมัติและโอนหนี้ ธนาคารใหม่ชำระหนี้เดิม และเริ่มสัญญาใหม่
- ชำระค่าธรรมเนียม เช่น ค่าประเมินหลักทรัพย์ (3,000-5,000 บาท) ค่าจดจำนอง (ร้อยละ 1 ของวงเงิน) หรือค่าปรับไถ่ถอน (ร้อยละ 2-3) ตัวเลขเหล่านี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละธนาคาร
ข้อดีของรีไฟแนนซ์
- ลดดอกเบี้ยได้มาก เช่น จากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 3 ช่วยประหยัดยอดผ่อนต่อเดือน
- เลือกธนาคารที่มีข้อเสนอดีที่สุดในตลาดได้
- ปรับเงื่อนไขสัญญา เช่น ขยายระยะเวลาผ่อนหรือรวมหนี้หลายก้อน
- มีโอกาสขอวงเงินเพิ่ม หากมูลค่าหลักทรัพย์สูงขึ้น
ข้อเสียของรีไฟแนนซ์
- มีค่าใช้จ่าย เช่น ค่าประเมิน ค่าจดจำนอง หรือค่าปรับไถ่ถอนก่อนกำหนด
- ใช้เวลาเตรียมเอกสารและรออนุมัติ (2-4 สัปดาห์)
- หากเครดิตไม่ดี อาจได้เงื่อนไขที่ไม่ดีหรือไม่ผ่านอนุมัติ
- ระยะเวลาผ่อนที่นานขึ้น อาจทำให้จ่ายดอกเบี้ยรวมมากกว่าเดิม

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
รีเทนชัน คืออะไร ?
รีเทนชัน (Retention) คือ การเจรจากับธนาคารเดิมที่กู้อยู่ เพื่อขอลดอัตราดอกเบี้ยหรือปรับเงื่อนไขสัญญา เช่น ขยายระยะเวลาผ่อน โดยไม่ต้องย้ายไปธนาคารใหม่ มักเกิดขึ้นเมื่อครบกำหนดโปรโมชันดอกเบี้ยต่ำ หรือเมื่อผู้กู้แสดงเจตจำนงจะรีไฟแนนซ์ไปที่อื่น
ขั้นตอนการรีเทนชัน
- ติดต่อธนาคาร แจ้งความต้องการขอลดดอกเบี้ยหรือปรับเงื่อนไข
- ยื่นข้อมูลเพิ่มเติม บางครั้งอาจต้องใช้สลิปเงินเดือนหรือเอกสารการเงินล่าสุด
- เจรจาเงื่อนไข ธนาคารพิจารณาจากประวัติการผ่อนและสถานะเครดิต
- รอผลอนุมัติ มักใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ เร็วกว่ารีไฟแนนซ์
- เซ็นสัญญาใหม่ หากตกลงได้ จะปรับเงื่อนไขในสัญญาเดิม
ข้อดีของรีเทนชัน
- ขั้นตอนง่าย ไม่ต้องยื่นเอกสารมาก เพราะธนาคารมีข้อมูลเดิม
- ค่าใช้จ่ายต่ำหรือไม่มีเลย บางธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียม
- อนุมัติเร็วกว่า ไม่ต้องประเมินหลักทรัพย์ใหม่
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการความสะดวกและไม่อยากเปลี่ยนธนาคาร
ข้อเสียของรีเทนชัน
- ดอกเบี้ยลดลงน้อยกว่ารีไฟแนนซ์ (เช่น ลดร้อยละ 0.5-1 เทียบกับร้อยละ 1-2 ของรีไฟแนนซ์)
- เงื่อนไขจำกัด ขึ้นอยู่กับนโยบายธนาคารเดิม
- ไม่สามารถเพิ่มวงเงินกู้หรือเปลี่ยนสัญญาได้มากนัก
- หากธนาคารไม่ยอมลดดอกเบี้ย อาจต้องยอมรับเงื่อนไขเดิม

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
รีไฟแนนซ์ VS รีเทนชัน แล้วควรเลือกอะไรดี ?
การเลือกระหว่างรีไฟแนนซ์และรีเทนชันไม่ใช่คำตอบเดียวสำหรับทุกคน เพราะทั้ง 2 วิธีมีข้อดีที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางการเงิน เป้าหมาย และข้อจำกัดของแต่ละคนในช่วงเวลานั้น เช่น ผู้ที่มีรายได้มั่นคงและเครดิตดีอาจได้ประโยชน์จากรีไฟแนนซ์มากกว่า ในขณะที่ผู้ที่มีเวลาจำกัดหรือไม่อยากยุ่งยากอาจเหมาะกับรีเทนชันมากกว่า
การตัดสินใจควรพิจารณาจากความต้องการส่วนตัว เช่น ต้องการลดดอกเบี้ยมาก ๆ หรือแค่ปรับยอดผ่อนให้สบายขึ้น รวมถึงความพร้อมในการจัดการ
- เลือกรีไฟแนนซ์ ถ้าต้องการลดดอกเบี้ยให้ต่ำลงมาก เช่น จากร้อยละ 5 เหลือร้อยละ 3 มีเครดิตดีและเวลาเตรียมเอกสารเพื่อยื่นกู้ใหม่ อยากรวมหนี้หลายก้อนหรือขอวงเงินเพิ่ม อัตราดอกเบี้ยในตลาดต่ำกว่าที่จ่ายอยู่มาก
- เลือกรีเทนชัน ถ้าต้องการความสะดวกและรวดเร็ว ไม่ยุ่งยากกับการยื่นกู้ใหม่ พอใจกับการลดดอกเบี้ยเล็กน้อย เช่น ร้อยละ 0.5-1 ไม่ต้องการเปลี่ยนธนาคารหรือเริ่มกระบวนการจากศูนย์ เครดิตหรือรายได้อาจไม่เพียงพอสำหรับรีไฟแนนซ์
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้กู้ควร คำนวณให้ชัด เพื่อเปรียบเทียบดอกเบี้ยที่ประหยัดได้กับค่าใช้จ่าย เจรจาอย่างมีข้อมูล โดยการหาข้อมูลโปรโมชันจากธนาคารอื่นเพื่อใช้เป็นข้อต่อรองในการรีเทนชัน หรือ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยวิเคราะห์สถานการณ์ส่วนตัว และที่สำคัญควรเช็กข้อมูลล่าสุดของดอกเบี้ยตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
"โปะหนี้" เคล็ดลับ ผ่อนหมดไว ไม่จ่ายดอกเบี้ยแพง
การโปะหนี้ คือ การชำระเงินเพิ่มจากยอดผ่อนปกติ เพื่อลดยอดเงินต้นให้เร็วขึ้น ซึ่งช่วยประหยัดดอกเบี้ยรวมและทำให้หนี้หมดไวขึ้น การโปะหนี้เหมาะกับผู้ที่มีรายได้พิเศษ เช่น โบนัส หรือเงินก้อนจากงานเสริม
วิธีโปะหนี้ให้มีประสิทธิภาพ
- แจ้งธนาคาร ระบุชัดว่าต้องการชำระเงินต้น ไม่ใช่ดอกเบี้ยหรือยอดผ่อนล่วงหน้า
- โปะเมื่อมีเงินก้อน เช่น ใช้เงินโบนัสหรือเงินปันผลมาชำระเงินต้น
- เพิ่มยอดผ่อนรายเดือน หากมีรายได้เพิ่ม ลองเพิ่มยอดผ่อนเล็กน้อย เช่น จาก 10,000 เป็น 12,000 บาท
- โปะในช่วงต้นสัญญา จะช่วยลดดอกเบี้ยรวมได้มาก
- รักษาวินัย ตั้งเป้าโปะเป็นประจำ เช่น ทุก 3 เดือน เพื่อเห็นผลชัดเจน
ตัวอย่าง : สมมติสินเชื่อบ้าน 3,000,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 4 สัญญาผ่อน 30 ปี ยอดผ่อนปกติประมาณ 15,000 บาท/เดือน หากโปะเงินต้น 50,000 บาททุกปี จะลดระยะเวลาผ่อนได้ 5-7 ปี และประหยัดดอกเบี้ยรวมเกือบ 500,000 บาท (ตัวอย่างนี้เป็นเพียงหลักการเท่านั้น รายละเอียดควรปรึกษาธนาคารอีกครั้ง)
ทั้งนี้ ผู้กู้ควรตรวจสอบเงื่อนไขสัญญา เพราะบางธนาคารอาจมีค่าปรับหากชำระเงินต้นก่อนกำหนด อย่าโปะจนกระทบเงินสำรองฉุกเฉิน ควรมีเงินออมอย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่าย หากโปะไม่ไหว ให้มุ่งรักษาการผ่อนปกติก่อน เพื่อไม่ให้เสียเครดิต

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ที่มา : สมาคมธนาคารไทย, เว็บไซต์ธนาคารพาณิชย์ (ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกรไทย)