วันนี้ (18 เม.ย.2568) นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พา กลุ่มผู้เสียหาย 20 คน จากการซื้อขายทองคำจากบริษัทแห่งหนึ่ง 20 คน เข้ายื่นหนังสือเร่งรัดให้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พิจารณาดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องบริษัทดังกล่าว ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน คดีฟอกเงิน และข้อหาอื่นๆ
นายปานเทพ กล่าวว่า มีผู้เสียหายจากการซื้อขาย ฝาก ตลอดจนให้ลงทุนทองคำในบริษัทแห่งนี้ ซึ่งมีพฤติกรรมหลอกให้ผู้เสียหายซื้อขายทอง โดยให้ราคาต่ำกว่าตลาด แต่สุดท้ายไม่ได้ทอง นอกจากนี้หลอกให้ผู้เสียหายขายทองโดยให้ราคาสูงกว่าตลาด จะชำระเงินให้ทันที แต่ให้รอรับการชำระเงิน 2-9 วัน แต่สุดท้ายผู้เสียหายไม่ได้เงิน
อ่านข่าว "ดีเอสไอ" ค้น 4 จุด คดีนอมินี "ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10"

ผู้เสียหายถูกหลอกลงทุนทองคำสูญนับพันล้านบาท
ผู้เสียหายถูกหลอกลงทุนทองคำสูญนับพันล้านบาท
หลอกผู้เสียหายที่เป็นร้านทองให้เอาทอง และเงินมาวางเป็นหลักประกัน (ฝากทอง) เพื่อเป็นเครดิตในการชำระเงินได้สูงสุด 21 วัน หรือให้ดอกเบี้ย 8% ต่อปี แต่สุดท้ายไม่ได้รับทองคืน รวมถึงให้ผู้เสียหายเปิดบัญชีเทรด Spot ทองคำเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกา (USD) ซึ่งไม่ชัดว่ามีการขออนุญาตการทำธุรกรรมจากธนาคารแห่งประเทศไทยหรือไม่
อีกทั้งยังมีพฤติการณ์หลอกให้ผู้เสียหายร่วมลงทุน สร้างและพัฒนาระบบแอปพลิเคชันเพื่อซื้อขายทองคำ และหลอกให้ผู้เสียหายบางส่วนลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยอ้างว่าจะผ่อนชำระหนี้ให้เพื่อบิดเบือนคดีอาญาให้เป็นคดีแพ่ง
เปิดพฤติการณ์ชวนลงทุนทองคำสูญพันล้าน
นายปานเทพ กล่าวว่า ผู้เสียหายได้แจ้งให้ทราบถึงพฤติการณ์ว่าได้มีการวาง แผนเป็นขั้นเป็นตอนเจตนาฉ้อโกงประชาชนมาตั้งแต่ต้น ซึ่งบริษัทแห่งนี้ได้มีการชักชวนให้ซื้อขายทองทองคำผ่าน open chat ในแอปพลิเคชันไลน์ เฟซบุ๊ก
ผู้เสียหายถูกหลอกให้เสียเงิน ทองคำ ซื้อทองไม่ได้รับทอง ขายทองไม่ได้เงิน ฝากทองไม่ได้คืน และลงทุนไม่ได้รับเงินคืนโดยมูลค่าค่าเสียหายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท
สำหรับบริษัทแห่งนี้ได้ปิดทำการทั้งใน กทม.และที่ทำการใน จ.นครราชสีมา 3 สาขา และปิดร้าน ทำให้ผู้เสียหายไม่สามารถทำธุรกรรมทางการเงินได้อีกต่อไป แต่ยังเปิดโอกาสผ่านแอปพลิเคชันให้ประชาชนทั่วไปยังนำเงินมาลงทุนโดยอ้างว่าเป็นการออมทองผ่านแอปพลิเคชัน

ปานเทพ-ผู้เสียหาย เข้าพบตำรวจสอบสวนกลางขอให้เร่งรัดคดี
ปานเทพ-ผู้เสียหาย เข้าพบตำรวจสอบสวนกลางขอให้เร่งรัดคดี
ร้านทอง 50 แห่ง-ธุรกิจต่อเนื่อง
พฤติการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความเสียหายที่มีมูลค่าความเสียหายสูง โดยมีกลุ่มผู้เสียหายประกอบด้วย ร้านทองทั่วประเทศกว่า 50 ร้าน ร้านรับซื้อทองเก่า ผู้ลงทุน ช่างทำทองรูปพรรณนำทองมาขาย และกลุ่มผู้เสียหายอื่น ๆ ซึ่งยังมีผู้เสียหายอีกจำนวนมากยังไม่มาแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน บก.ปคบ. มาแจ้งความไว้ก่อนหน้าแล้ว (31 มี.ค.)
วันนี้จึงพาผู้เสียหายมายื่นร้องขอให้ บก.ปคบ.พิจารณาดำเนินคดีต่อบริษัท SCT ในข้อหาฉ้อประชาชน และข้อหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและขอให้พิจารณาดำเนินการออกหมายจับทั้งยึดและอายัดทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.การฟอกเงิน ขอให้เร่งรัดดำเนินการดังกล่าวตามกฎหมาย
เบื้องต้น พล.ต.ต.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ ผบก.ปคบ.พ.ต.อ.นิตติโชติ เพ็ญจำรัส รองผบก.ปอศ.รับหนังสือร้องเรียน พร้อมชี้แจงการทำคดีให้ผู้เสียหายทราบ

สำหรับคดีนี้ผู้เสียหายทยอยเข้าแจ้งความร้องทุกข์ พงส.บก.ปคบ.ตั้งแต่ 31 มี.ค.ที่ผ่านมา พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช พิจารณาแล้วมีคำสั่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนี้ ประกอบด้วย บก.ป. บก.ปคบ.บก.ปอศ.
เนื่องจากผู้เสียหายส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการร้านทองรายย่อย ได้นำทองคำไปฝากขายด้วยการหลอมเป็นก้อน แต่ปรากฎว่าไม่ได้คืนทั้งทอง หรือเงินที่อ้างว่าขายทองคำดังกล่าว มีความเสียหายจำนวนมาก
ขณะนี้ฝ่ายสืบสวนตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้เกี่ยวข้องบริษัทดังกล่าวแล้ว 4 เส้นจาก 7 เส้นเงิน กำลังรอส่วนที่เหลืออยู่เร่งสอบปากคำผู้เสียหายก่อนจะรวบรวมพยานหลักฐานพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย
อ่านข่าวอื่นๆ