ธปท.รับมือสหวิริยาฯทำหนี้เสียในระบบเพิ่ม สั่ง 3 แบงก์ที่ปล่อยกู้กันสำรอง 100 เปอร์เซนต์
วันนี้ (23 ก.ย.2558) นายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงปัญหาความเสียหายจากการลงทุนของ บริษัท สหวิริยาฯ ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเหล็กขนาดใหญ่และลงทุนซื้อกิจการโรงถลุงเหล็กในอังกฤษจนขาดทุน คิดเป็นมูลหนี้กว่า 53,000 ล้านบาทว่า แบงก์ชาติรับทราบปัญหามาตั้งแต่ต้นและสั่งให้ธนาคารพาณิชย์ที่ปล่อยกู้ทยอยตั้งกันสำรองหนี้ตั้งแต่ปลายปี 2555 หลังพบสัญญาณบริษัทเริ่มขาดสภาพคล่องจากสภาพราคาเหล็กรีดร้อนตกต่ำ และความต้องการใช้เหล็กในอุตสาหกรรมลดลงในส่วนของ บริษัท สหวิริยาครบทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่หักหลักประกันเฉพาะในอังกฤษ หรือ บ.เอสเอสไอ ยูเค ครบทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์เต็มทั้งธนาคารไทยพาณิชย์ กรุงไทย และทิสโก้
ส่วนบริษัท สหวิริยา ประเทศไทย ซึ่งไม่สามารถเปิดเผยมูลหนี้ แต่สั่งให้ธนาคารกันสำรองหนี้เสีย แต่ให้คิดหลักประกันได้ไม่เกินร้อยละ 60 ของมูลหนี้ โดยทั้งหมดต้องดำเนินการให้ครบภายในสิ้นเดือนนี้เพื่อไม่ให้กระทบเสถียรภาพทั้งระบบธนาคารพาณิชย์
ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2558 มูลหนี้ของบริษัทคิดเป็นร้อยละ 0.4 ของสินเชื่อ หรือ ร้อยละ 1 ของสินเชื่อทั้ง 3 ธนาคาร
นายรณดลกล่าวอีกว่า กรณีบริษัทเอสเอสไอ เป็นกรณีศึกษาของแบงก์ชาติและธนาคารพาณิชย์ที่ต้องปรับปรุงระบบคัดกรองสินเชื่อตลอดเวลา ซึ่งกรณีนี้นับเป็นกรณีพิเศษจากเหตุเฉพาะจริงๆ อย่างไรก็ตาม ในกรณีเลวร้ายที่สุด หากคิดหนี้ของเอสเอสไอเป็นหนี้เสียทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ จะทำให้หนี้เสียหรือเอ็นพีแอลเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2.46 ในเดือนมิถุนายนเป็นร้อยละ 2.86 ในเดือนกรกฎาคม 2558 แต่ไม่กระทบเสถียรภาพระบบธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ