สคบ.ปรับสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ให้มีมาตรฐาน
การผิดสัญญาจองรถยนต์มีแนวโน้มว่าจะกลายเป็นปัญหาที่รุนแรงขึ้นในปีนี้ หลังความต้องการรถยนต์สูงขึ้น และคาดการณ์ว่ายอดขายรถยนต์ในประเทศ จะเพิ่มจาก 790,000 คันในปีที่แล้ว เป็น 1,100,000 คันในปีนี้ เพราะมีรถยนต์ค้างส่งมอบหรือแบ็คออร์เดอร์เกินกว่า 100,000 คัน ซึ่งยังไม่นับรวมกับยอดจองใหม่ จากนโยบายคืนสิทธิ์ภาษีรถคันแรก ที่กระตุ้นความต้องการซื้อรถโมเดลใหม่หลายรุ่น โดยเฉพาะกระบะ และอีโคคาร์
แม้โรงงานรถยนต์จะฟื้นตัวได้เร็วจนทำให้เดือนมีนาคมที่ผ่านมาผลิตรถยนต์ได้สูงสุดในรอบ 50 ปี แต่ตัวแทนจำหน่ายบางยี่ห้อยอมรับว่ายอดจองที่สูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้ลูกค้ารายต้องรอนานถึงปีหน้า จนไม่กล้าระบุวันส่งมอบรถในใบสัญญาจองรถยนต์
สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.รายงานว่าข้อร้องเรียนสูงสุดช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ คือ ปัญหารถยนต์ชำรุด การค้างค่างวด การไม่ทำตามสัญญาจอง และการขอเงินจองคืนกรณีไม่ได้รถรวม 287 ราย ทำให้ สคบ. และมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคต่างออกมาย้ำเตือนลูกค้าว่าอาจเสียเปรียบ หากลงนามสัญญาจองรถโดยกรอกรายละเอียดต่างๆ ไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะวันรับรถที่เป็นข้อความสำคัญ
แม้ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาเรื่องให้ธุรกิจการขายรถยนต์ที่มีการจอง เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2551 ระบุว่า ผู้บริโภคมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และได้รับเงินจอง และมัดจำทั้งหมดคืนภายใน 15 วัน หากผู้ประกอบธุรกิจปรับราคารถยนต์สูงขึ้น ไม่ส่งมอบตามกำหนด หรือส่งมอบรถยนต์ไม่ตรงตามที่ระบุในสัญญา รวมถึงกรณีผู้ซื้อรถไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากไฟแนนซ์ แต่มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ระบุว่าการไม่คืนเงินจอง เป็นปัญหาที่พบมากที่สุดของผู้ซื้อรถยนต์ โดยตั้งแต่ปี 2553 มีการร้องเรียน 34 ราย
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคยังกังวลว่าผู้ถูกยืมชื่อไปใช้สิทธิ์ซื้อรถคันแรก และผู้ค้ำประกันที่อาจเป็นผู้รับภาระหนี้โดยไม่รู้ตัว เพราะไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธว่าไม่รู้เห็นกับการเช่าซื้อรถ และอาจถูกทวงหนี้ หรือถูกยึดทรัพย์สินได้
ขณะนี้ สคบ. และเครือข่ายผู้บริโภค กำลังผลักดันสัญญาจองรถยนต์ และเช่าซื้อที่เป็นมาตรฐาน และยกสาระสำคัญ เช่น ค่างวดชำระ มาอยู่ในจุดที่สะดุดตา แต่ไม่ว่าจะมีการปรับปรุงอย่างไร วิธีปกป้องสิทธิ์ของผู้บริโภคได้มากที่สุดคือกรอก และอ่านข้อความให้ละเอียดครบถ้วนก่อนลงนามสัญญา