นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทยในขณะนี้อยู่ในรูปของสกุลดอลลาร์ประมาณ 40-50% ของทุนสำรองรวม โดยทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย ณ วันที่ 4 พ.ค.อยู่ที่ 1.78 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือว่าไทยมีทุนสำรองอยู่ในสินทรัพย์ที่ค่อนข้างปลอดภัย เพราะปัจจุบันตลาดการเงินมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนไปถือครองเงินดอลลาร์ที่เป็นสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจยุโรป ทั้งนี้การเคลื่อนย้ายเงินทุนไปอยู่ในสกุลเงินดอลลาร์จะกดดันค่าเงินบาทอ่อนค่าลงแต่ยังไม่น่าห่วงมาก เนื่องจากค่าเงินบาทยังเคลื่อนไหวตามค่าเงินสกุลอื่น โดยเมื่อวันพุธที่ 16 พฤษภาคม ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากสุดในรอบ 3 เดือนแตะที่ระดับ 31.55ต่อดอลลาร์ ขณะที่ล่าสุด อยูที่ 31.42/46
นายประสาร กล่าวว่า ส่วนการลงทุนของต่างประเทศในไทยนั้นยังไม่เห็นสัญญาณของการถดถอย ซึ่งผู้ลงทุนต่างประเทศรายใหญ่ของไทย ยังมาจากประเทศในภูมิภาคเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และ จีน ส่วนการลงทุนจากยุโรป อาจจะแผ่วลงบ้างแต่ก็ยังไม่น่ากังวล ขณะที่การลงทุนของผู้ลงทุนไทยในต่างประเทศ ก็มีแนวโน้มที่ดี
ผู้ว่า ธปท.กล่าวว่า สำหรับการดูแลสภาพคล่องส่วนเกินในระบบธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันมีอยู่สูงเกินกฏหมายกำหนด 5 เท่าหรือประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ที่ 5แสนล้านบาทจึงถือว่าสภาพคล่องในระบบ อยู่ในระดับสูง แต่หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมเป็นต้นมา จะเห็นว่าการขยายตัวของสินเชื่อดีขึ้น โดยปี 2554 ขยายตัว 14% ส่วนไตรมาสแรกของปีนี้สินเชื่อขยายตัว 13% ขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากและตั๋วแลกเงินอยู่ที่ประมาณ 90% จึงยังมีช่องว่างเหลืออีก10% แสดงให้เห็นว่า สภาพคล่องขณะนี้ มีเพียงพอรองรับการขยายสินเชื่อได้ โดยยอมรับว่า 3 ปีที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์แข่งขันระดมเงินฝากค่อนข้างมาก ทำให้อัตราการเติบโตของสินเชื่อมากกว่าการเติบโตของเงินฝากและตั๋วแลกเงิน(บีอี) โดยสินเชื่อโตเฉลี่ย 8-9%ต่อปี ขณะที่เงินฝากและบีอีเติบโตเฉลี่ย 3%ต่อปี
นายประสาร กล่าวว่า 2-3 ปีผ่านมาเงินไหลเข้าไทยมากหากไม่มีการดูดซับ สภาพคล่องอาจล้นเป็น 4-5ล้านล้านบาท ทำแบงก์ต้องวิ่งใช้เงินเพราะเก็บไว้มีต้นทุน และนำไปสู่การลงทุนในสินทรัพย์ด้อยคุณภาพซึ่งให้ผลตอบแทนสูงกว่า จนเกิดปัญหาเครดิตและเกิดซัพไพร์ม เหมือนที่เคยเกิดมา ซึ่งไม่ต้องการเห็นเช่นนั้น จึงเป็นหน้าที่ของ ธปท.ที่จะต้องดูแลสภาพคล่องให้เพียงพอ และเหมาะสมกับธุรกรรมทางเศรษฐกิจ หากภาครัฐหรือเอกชนมีการลงทุนนำออกไปใช้ลงทุนทางเศรษฐกิจที่ดี ธปท. ก็ยินดี เพราะจะลดภาระดอกเบี้ยจ่ายของธปท.ด้วย และ บัญชีธปท. ก็จะขาดทุนน้อยลง
ผู้ว่าการธปท.กล่าวอีกว่า ส่วนที่ต้องทำงานรวมกับนายวีรพงษ์ รามางกูร ว่าที่ประธานกรรมการธปท. ไม่ได้กดดันอะไรเพราะเห็นว่าการเข้ามาทำหน้าที่คงจะมีเจตนาดีต่อประเทศชาติ และคิดว่าได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน ซึ่งการที่ได้มีโอกาสที่รับฟังความเห็นที่แตกต่างจาก ธปท. ซึ่งน่าจะมีประโยชน์ และ ธปท.ได้มีการเปิดเผยข้อมูลเป็นสาธารณะอยู่แล้ว ด้วยมี โครงสร้างและระบบการทำงาน การจะทำอะไรก็อยู่ในสายตาของสาธารณชนอยู่แล้ว ซึ่งคงต้องรอจังหวะหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อเป็นโอกาสที่ฟังความเห็นแตกต่างจากที่เราคิด ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ คงมีโอกาสแลกเปลี่ยนความเห็น เพียงรอจังหวะเวลาที่เหมาะสม ไม่รู้สึกกดดันใดๆ