ตร.จราจรเพิ่มมาตรการเพิกเฉยใบสั่ง โดยออกหมายเรียกไปยังที่อยู่ในใบขับขี่
การยึดใบขับขี่รถยนต์จากผู้กระทำผิดกฏหมายจราจร ที่ถูกตำรวจจราจรกลาง ยึดไว้เกิน 1 ปี โดยไม่ยอมมาเสียค่าปรับ มาตรการต่อไปที่ตำรวจเตรียมนำออกมาใช้ สำหรับผู้ที่ยังละเลยไม่ใส่ใจมาจ่ายค่าปรับ คือตำรวจจะออกเป็นหมายเรียกแจ้งไปตามที่อยู่ เพื่อให้เจ้าของใบขับขี่ทราบ และมาจ่ายค่าปรับตามกฏหมาย และหากพบว่ามีการนำใบแจ้งความไปทำขอทำใบขับขี่ใหม่ หากตรวจสอบจากฐานข้อมูลของกรมการขนส่งทางบก ก็จะดำเนินคดีกับเจ้าของฐานแจ้งความเท็จด้วย
ทั้งนี้ใบสั่งแบบติดไว้กับรถยนต์ โดยไม่ถูกยึดใบขับขี่ หรือที่เรียกว่า ใบสั่งแปะ ก็ไม่ได้รับการยกเว้น ซึ่งข้อมูลที่กองกำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจจราจร รวบรวมไว้ตั้งแต่ วันที่ 1 ม.ค.-30 เม.ย.ปีนี้ มีผู้กระทำผิดกฏหมายจราจรในกรุงเทพมหานคร ทั้งสิ้น กว่า 480,000 คน แต่มารายงานตัว เพื่อชำระค่าปรับเพียงแค่ 168,000 คนเท่านั้น แยกเป็นใบสั่งแบบพบตัวผู้กระทำความผิด โดยยึดใบขับขี่ไว้ จำนวนกว่า 383,000 คน และเป็นการออกใบสั่งแบบไม่พบตัว หรือ ใบสั่งติดไว้ที่รถ กว่า 95,000 คน และมีผู้มารายงานตัวเพื่อชำระค่าปรับ 148,405 คน
ซึ่งมาตรการ การออกหมายเรียกไปตามที่อยู่ เพื่อให้ผู้กระทำผิดมาเสียค่าปรับ ตำรวจเชื่อว่า การเพิกเฉยต่อการชำระค่าปรับลดน้อยลง
ขณะที่มุมมองของผู้ขับรถยนต์ บางส่วนยอมรับว่า การบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังจะช่วยแก้ปัญหาการทำผิดกฏจราจรได้ แต่ก็บางส่วนที่เห็นต่างว่า การออกหมายเรียกให้มาชำระค่าปรับ เป็นเรื่องที่รุนแรงเกินไป
สำหรับ ผู้ที่ถูกออกใบสั่ง กฏหมายระบุว่า ต้องรายงานตัวต่อพนักงานสอบสวน เพื่อชำระค่าปรับ ตามจำนวนที่ระบุไว้ในใบสั่ง ตั้งแต่ 8 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 7 วันนับจากวันที่ถูกจับกุม หรือชำระค่าปรับผ่านทางไปรษณีย์ พร้อมแนบสำเนาใบสั่ง ไปตามที่อยู่ที่ระบุไว้ในใบสั่งนั้น ซึ่งหากไม่ชำระค่าปรับตามเวลาที่กำหนด ตำรวจจะออกหมายเรียก และหากไม่รายงานตัวตามหมายเรียก จะมีความผิดเพิ่มเติม ในข้อหา ไม่ไปรายงานตัวภายในกำหนดเวลาตามกฏหมาย ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศง 2522 มี ซึ่งจะมีโทษปรับไม่เกิน 1,000 บาท