ปัญหาระบบประมวลผลสัญญาณเรดาห์สนามบินสุวรรณภูมิดับเมื่อค่ำวานนี้(21 มิ.ย.) จนเป็นผลให้หลายเที่ยวบินไม่สามารถลงจอดที่สุวรรณภูมิและดอนเมืองได้ทำให้ต้องไปลงจอดที่สนามบินอื่นแทน เช่น สนามบินอู่ตะเภา เชียงใหม่และภูเก็ต นายยุทธชัย สุนทรรัตนเวช นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวในประเทศ กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวกระทบต่อการท่องเที่ยว และความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และยังเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้น พร้อมเร่งชี้แจงสาเหตุและมีมาตรการแก้ปัญหาที่ชัดเจน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กระทรวงคมนาคมสั่งตั้ง คณะกรรมการตรวจสอบ โดยมีนายศิลปชัย จารุเกษมรัตนะ ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน โดยจะใช้เวลาในการตรวจสอบ15 วัน จากนั้นจะชี้แจงไปยังสายการบินต่างๆทั่วโลก
นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.กระทรวงคมนาคม ระบุว่าขณะนี้เร่งเปลี่ยนระบบจ่ายไฟฟ้าต่อเนื่องอัตโนมัติ(ยูพีเอส) ที่ขัดข้อง ในระยะกลาง และระยะยาวจะเพิ่มระบบการจ่ายไฟฟ้าสำรอง แยกเป็น 3 ชั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายเดือนสิงหาคมนี้
ด้านนายสมชัย สวัสดิผล ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า หลังจากเกิดปัญหายังไม่มีสายการบินแจ้งเรื่องเรียกร้องค่าชดเชย พร้อมได้ทำความเข้าใจกับสายการบินต่าง ๆ ว่าเป็นเหตุสุดวิสัย
ทั้งนี้มีเครื่องบิน 50 ลำ ได้รับผลกระทบ แบ่งเป็น เครื่องบินที่ต้องเปลี่ยนไปลงสนามบินสำรองอื่น ๆ 13 ลำ โดยต้องบินไปลงสนามบินอู่ตะเภา 6 ลำ สนามบินเชียงใหม่ 2 ลำ สนามบินภูเก็ต 2 ลำ สนามบินกัวลาลัมเปอร์ 2 ลำ และสนามบินเสียมเรียบ 1 ลำ นอกจากนี้ยังมีเครื่องบินที่ต้องจอดรอทีสนามบินสุวรรณภูมิ 22 ลำ รอนานที่สุด 105 นาที ส่วนเครื่องบินต้องบินวน มี 15 ลำ โดยสายการบิน การ์ตารี่ รอนานที่สุด 71 นาที
สำหรับยอดนักเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางเข้ามายังประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนพฤษภาคม รวมแล้วกว่า 8,800,000 คน ทำรายได้เข้าประเทศแล้วประมาณ 366,000 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีท่องเที่ยวเพิ่มกว่า 20 ล้านคน