นายสมจินต์ ศรไพศาล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในกองทุนรวมในปีนี้ มีแนวโน้มว่าจะมีการเติบโตมากขึ้น โดยในช่วง6เดือนแรกของปีนี้มีอัตราการขยายตัวที่12% ซึ่งการขยายตัวนั้นกระจุกตัวอยู่ในสินทรัพย์ประเภทตราสารหนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นหลัก กว่า 90 % และยังขาดการกระจายไปยังสินทรัพย์อื่นๆ อย่างทองคำ หุ้น อสังหาริมทรัพย์ กองทุนผสม ส่งผลให้ขาดการกระจายการลงทุนที่ดีซึ่งเป็นหัวใจของการลงทุน
“การเติบโตของการลงทุนประเภทกองทุนที่ขยายตัวมากขึ้นเป็นผลมาจาก ประชาชนได้รับรู้ถึงประโยชน์ของกองทุน และอัตราการให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าการฝากเงิน ทำให้ประชาชนหันมาลงทุนในกองทุนแทนการฝากเงินกับธนาคารมากขึ้น”
สำหรับการเติบโตของกองทุนในปีนี้อาจดูมีอัตราการขยายตัวน้อยกว่าช่วง2-3ปีที่แล้ว แต่ก็อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ส่วนของมาตรการของรัฐบาลในปัจจุบันถือว่ามีความเหมาะสมอยู่แล้ว และสิ่งที่ควรจะเสริมเข้าไปคือการให้ความรู้กับนักลงทุนมากกว่า ซึ่งทางสมาคมได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ให้ข้อมูลกับนักลงทุน เพื่อให้เห็นประโยชน์ของการลงทุนในกองทุนมากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับนักลงทุนที่เน้นการลงทุนในระยะยาว หรือการลงทุนเพื่อเอาเงินส่วนนี้เก็บใว้ใช้ในยามเกษียณอายุ ที่ผ่านมารัฐบาลได้ขยายเวลาการคุ้มครองบัญชีเงินฝาก บัญชีละ 5 0ล้านบาทออกไปนั้น ไม่สงผลกระทบต่อการลงทุนในกองทุน เนื่องจากกองทุนมีศักยภาพและให้ผลตอบแทนที่เยอะกว่าเงินฝากอยู่แล้ว และไม่ว่าจะมีการยืดเวลาคุ้มครองเงินฝากออกไปหรือไม่นั้นไม่น่าจะเป็นปัจจัยที่ทำให้นักลงทุน นำเงินฝากเข้ามาลงทุน โดยทิศทางในครึ่งปีหลังหากได้กองทุนหุ้นระยะยาว(LTF)และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เข้ามาสนับสนุนน่าจะทำให้มีการขยายตัวมากขึ้นและคาดว่าน่าจะโตมากกว่า10% จากปีที่แล้ว
นายสมจินต์ กล่าวต่อว่า แม้ยุโรปจะยังมีวิกฤติการณ์การเงินอยู่ แต่ไม่น่าจะมีผลกระทบต่อการลงทุนในกองทุน เนื่องจาก วิกฤติการยุโรป ได้มีผลมาระยะหนึ่งแล้ว ทำให้นักลงทุน มีการตั้งรับภาวะความเสี่ยงและกระจายความเสี่ยงไว้แล้ว ซึ่งในการลงทุนนั้นหากจุดไหนที่มีความเสี่ยง ก็ควรจะชะลอการลงทุนไว้ก่อน และหันมาลงทุนภายในประเทศ ซึ่งไทยมีหลายส่วนที่มีศักยภาพ และมีความน่าลงทุน