"ความเป็นญี่ปุ่น" คือสิ่งที่หลายคนสงสัยและพยายามทำความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นมารยาท กิริยา หรือการพูดจาที่ดูเหมือนมีกฎเกณฑ์มากมาย ในรายการ "ดูให้รู้" ได้เชิญคุณมิกุ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชาวญี่ปุ่น เจ้าของช่อง Mikuo Sushi ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคน มาเปิดเผยเบื้องหลังความคิดและความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในคำพูดและพฤติกรรมของคนญี่ปุ่น
คงจะไม่มีใครไม่เคยสังเกตว่าเมื่อชมคนญี่ปุ่น พวกเขามักจะปฏิเสธคำชมอย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาแบบนี้เป็นปกติมากในวัฒนธรรมญี่ปุ่น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นมารยาทพื้นฐานที่ทุกคนควรปฏิบัติ คุณมิกุได้สาธิตบทสนทนาที่มักเกิดขึ้น เมื่อมีคนชมว่า "คุณสวยจัง" เธอจะตอบทันทีว่า "ไม่หรอก ไม่เลย ดวงตาฉันเล็ก จมูกฉันรูปร่างแปลก ริมฝีปากฉันบาง และหน้าผากฉันแบนมาก" นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ บทสนทนาที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก การตอบรับคำชมตรงๆ ถือเป็นการไม่สุภาพในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากวัฒนธรรมตะวันตกที่การตอบรับคำชมด้วยความขอบคุณถือเป็นเรื่องปกติ
คุณมิกุเล่าว่า การที่คนญี่ปุ่นต้องปฏิเสธคำชมเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า หรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ ถือเป็นการรักษาความสัมพันธ์และความกลมเกลียวในสังคม แต่ก็มีข้อยกเว้น ถ้าเป็นคนต่างชาติที่ตอบรับคำชมตรงๆ คนญี่ปุ่นจะเข้าใจว่านั่นเป็นวัฒนธรรมที่แตกต่าง อย่างไรก็ตาม เมื่อคนสนิทกัน พวกเขาอาจจะพูดตรงกว่านี้ได้ แต่กับคนที่เพิ่งรู้จักหรือเพื่อนร่วมงาน การเล่นละครเล็กๆ นี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป
สิ่งที่ทำให้หลายคนสับสนเมื่อสื่อสารกับคนญี่ปุ่นคือ พวกเขามักจะไม่พูดตรง ๆ ว่ารู้สึกอย่างไรหรือต้องการอะไร คุณมิกุเปิดเผยว่า คนญี่ปุ่นถูกปลูกฝังให้คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นเป็นอันดับแรก พวกเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงการพูดในสิ่งที่อาจทำให้ผู้อื่นเสียความรู้สึกหรือขัดแย้งกัน เวลาที่คนญี่ปุ่นต้องการจะวิจารณ์หรือแนะนำสิ่งที่ไม่ชอบ พวกเขาจะใช้วิธีพูดอ้อม ๆ เช่น ถ้าอยากบอกว่าเสื้อที่เพื่อนใส่ไม่สวย แทนที่จะบอกตรงๆ พวกเขาอาจจะพูดว่า "แจ็กเก็ตสีแดงอาจจะดูดีกว่านะ" คุณมิกุอธิบายว่า นี่เป็นวิธีการให้คำแนะนำโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก
นอกจากนี้ เธอยังเปิดเผยความแตกต่างระหว่างคนในภูมิภาคต่างๆ ของญี่ปุ่น โดยคนโตเกียวจะเป็นพวกที่พูดอ้อมมากที่สุด ส่วนคนโอซาก้าจะตรงกว่าและชอบใช้มุกตลกช่วยในการสื่อสาร ส่วนคนเกียวโตนั้นถูกมองว่ามี "สองบุคลิก" มากที่สุด คือภายนอกดูสุภาพและพูดจาอ้อมค้อม แต่ความคิดภายในอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณมิกุยังเล่าถึงสถานการณ์ที่น่าอึดอัด เช่น เมื่อต้องบอกเพื่อนว่าซิปกางเกงเปิดอยู่ หรือการวิจารณ์แฟนของเพื่อนที่ไม่ดี คนญี่ปุ่นจะใช้ภาษาอ้อมๆ และพยายามทำให้อีกฝ่ายตระหนักเองมากกว่าที่จะบอกตรง ๆ การพูดตรงไปตรงมาจนเกินไปอาจทำให้ความสัมพันธ์เสียหายได้
คุณมิกุยังเผยถึงเคล็ดลับการใช้ภาษากายและการออกเสียงของคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้หญิงญี่ปุ่นที่มักพูดด้วยเสียงสูง เธออธิบายว่า การพูดเสียงสูงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงญี่ปุ่นทำเพราะต้องการให้ผู้ชายมองว่าน่ารัก ซึ่งเป็นการ "คำนวณ" อย่างหนึ่ง แม้แต่ผู้ชายเองก็นิยมพูดด้วยเสียงที่สูงขึ้นเล็กน้อยในสถานการณ์ทางธุรกิจหรือเมื่อต้องการให้ดูกระฉับกระเฉง ที่น่าสนใจคือ เวลาที่พูดโทรศัพท์ คนญี่ปุ่นก็มักจะเปลี่ยนโทนเสียงทันที จากเสียงปกติเป็นเสียงที่สูงขึ้นและสุภาพมากขึ้น แม้จะกำลังคุยกับคนในครอบครัวก็ตาม เช่น "สวัสดีค่ะ/ครับ" ด้วยเสียงที่สูงและสุภาพกว่าปกติ สำหรับเรื่องการจีบกัน คนญี่ปุ่นก็มีวิธีที่เป็นเอกลักษณ์ คุณมิกุเล่าว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นจะไม่บอกตรงๆ ว่าชอบใคร แต่จะใช้วิธีอ้อมๆ เช่น บอกว่า "รถไฟขบวนสุดท้ายหมดแล้ว" ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัยว่าอยากไปบ้านของอีกฝ่ายหรือไปโรงแรมด้วยกัน นี่เป็นเทคนิคที่ผู้หญิงญี่ปุ่นใช้เพื่อให้ผู้ชายเป็นฝ่าย "สารภาพรัก" แทน
นอกจากนี้ การใช้คำว่า "สุมิมาเซน" (ขอโทษ/ขอบคุณ) ในภาษาญี่ปุ่นยังสามารถใช้ได้หลากหลายความหมาย ทั้งการขอโทษ การขอบคุณ หรือแม้แต่การทักทาย เป็นคำอเนกประสงค์ที่คนต่างชาติสามารถใช้ได้ในหลายสถานการณ์ คุณมิกุยังให้เคล็ดลับสำหรับคนต่างชาติที่สนใจจีบคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้หญิงญี่ปุ่น นั่นคือการชมอย่างจริงใจและบ่อยๆ เนื่องจากผู้ชายญี่ปุ่นมักไม่ค่อยชมผู้หญิงตรง ๆ ดังนั้นเมื่อคนต่างชาติชมพวกเธอ ก็มีโอกาสสร้างความประทับใจได้ไม่ยาก
สุดท้าย คุณมิกุเล่าถึงความภาคภูมิใจในตัวตนของคนญี่ปุ่น ซึ่งเธอมองว่าสิ่งที่ทำให้คนญี่ปุ่นแตกต่างจากชาติอื่นคือความสุภาพและการให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าอย่างเต็มที่ รวมถึงความขี้อายที่เธอคิดว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่น นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวความเป็นญี่ปุ่นที่คุณมิกุได้เปิดเผยไว้ในรายการ หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นและการอยู่ร่วมกับคนญี่ปุ่น ไม่ควรพลาดการรับชมรายการ "ดูให้รู้" ตอน "มาเมาท์ความญี่ปุ่นจากปากคำคนญี่ปุ่นกัน"
ติดตามชมได้ในรายการ ดูให้รู้ วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2568 เวลา 17.30 - 18.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมผ่านทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live และติดตามความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ www.facebook.com/Dohiru
แท็กที่เกี่ยวข้อง:
-"ความเป็นญี่ปุ่น" คือสิ่งที่หลายคนสงสัยและพยายามทำความเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นมารยาท กิริยา หรือการพูดจาที่ดูเหมือนมีกฎเกณฑ์มากมาย ในรายการ "ดูให้รู้" ได้เชิญคุณมิกุ คอนเทนต์ครีเอเตอร์ชาวญี่ปุ่น เจ้าของช่อง Mikuo Sushi ที่มีผู้ติดตามหลายล้านคน มาเปิดเผยเบื้องหลังความคิดและความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในคำพูดและพฤติกรรมของคนญี่ปุ่น
คงจะไม่มีใครไม่เคยสังเกตว่าเมื่อชมคนญี่ปุ่น พวกเขามักจะปฏิเสธคำชมอย่างรวดเร็ว ปฏิกิริยาแบบนี้เป็นปกติมากในวัฒนธรรมญี่ปุ่น แทบจะเรียกได้ว่าเป็นมารยาทพื้นฐานที่ทุกคนควรปฏิบัติ คุณมิกุได้สาธิตบทสนทนาที่มักเกิดขึ้น เมื่อมีคนชมว่า "คุณสวยจัง" เธอจะตอบทันทีว่า "ไม่หรอก ไม่เลย ดวงตาฉันเล็ก จมูกฉันรูปร่างแปลก ริมฝีปากฉันบาง และหน้าผากฉันแบนมาก" นี่เป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ บทสนทนาที่สะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก การตอบรับคำชมตรงๆ ถือเป็นการไม่สุภาพในวัฒนธรรมญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างอย่างมากจากวัฒนธรรมตะวันตกที่การตอบรับคำชมด้วยความขอบคุณถือเป็นเรื่องปกติ
คุณมิกุเล่าว่า การที่คนญี่ปุ่นต้องปฏิเสธคำชมเป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า หรือทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ ถือเป็นการรักษาความสัมพันธ์และความกลมเกลียวในสังคม แต่ก็มีข้อยกเว้น ถ้าเป็นคนต่างชาติที่ตอบรับคำชมตรงๆ คนญี่ปุ่นจะเข้าใจว่านั่นเป็นวัฒนธรรมที่แตกต่าง อย่างไรก็ตาม เมื่อคนสนิทกัน พวกเขาอาจจะพูดตรงกว่านี้ได้ แต่กับคนที่เพิ่งรู้จักหรือเพื่อนร่วมงาน การเล่นละครเล็กๆ นี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป
สิ่งที่ทำให้หลายคนสับสนเมื่อสื่อสารกับคนญี่ปุ่นคือ พวกเขามักจะไม่พูดตรง ๆ ว่ารู้สึกอย่างไรหรือต้องการอะไร คุณมิกุเปิดเผยว่า คนญี่ปุ่นถูกปลูกฝังให้คำนึงถึงความรู้สึกของคนอื่นเป็นอันดับแรก พวกเขาจึงพยายามหลีกเลี่ยงการพูดในสิ่งที่อาจทำให้ผู้อื่นเสียความรู้สึกหรือขัดแย้งกัน เวลาที่คนญี่ปุ่นต้องการจะวิจารณ์หรือแนะนำสิ่งที่ไม่ชอบ พวกเขาจะใช้วิธีพูดอ้อม ๆ เช่น ถ้าอยากบอกว่าเสื้อที่เพื่อนใส่ไม่สวย แทนที่จะบอกตรงๆ พวกเขาอาจจะพูดว่า "แจ็กเก็ตสีแดงอาจจะดูดีกว่านะ" คุณมิกุอธิบายว่า นี่เป็นวิธีการให้คำแนะนำโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก
นอกจากนี้ เธอยังเปิดเผยความแตกต่างระหว่างคนในภูมิภาคต่างๆ ของญี่ปุ่น โดยคนโตเกียวจะเป็นพวกที่พูดอ้อมมากที่สุด ส่วนคนโอซาก้าจะตรงกว่าและชอบใช้มุกตลกช่วยในการสื่อสาร ส่วนคนเกียวโตนั้นถูกมองว่ามี "สองบุคลิก" มากที่สุด คือภายนอกดูสุภาพและพูดจาอ้อมค้อม แต่ความคิดภายในอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณมิกุยังเล่าถึงสถานการณ์ที่น่าอึดอัด เช่น เมื่อต้องบอกเพื่อนว่าซิปกางเกงเปิดอยู่ หรือการวิจารณ์แฟนของเพื่อนที่ไม่ดี คนญี่ปุ่นจะใช้ภาษาอ้อมๆ และพยายามทำให้อีกฝ่ายตระหนักเองมากกว่าที่จะบอกตรง ๆ การพูดตรงไปตรงมาจนเกินไปอาจทำให้ความสัมพันธ์เสียหายได้
คุณมิกุยังเผยถึงเคล็ดลับการใช้ภาษากายและการออกเสียงของคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้หญิงญี่ปุ่นที่มักพูดด้วยเสียงสูง เธออธิบายว่า การพูดเสียงสูงเป็นสิ่งที่ผู้หญิงญี่ปุ่นทำเพราะต้องการให้ผู้ชายมองว่าน่ารัก ซึ่งเป็นการ "คำนวณ" อย่างหนึ่ง แม้แต่ผู้ชายเองก็นิยมพูดด้วยเสียงที่สูงขึ้นเล็กน้อยในสถานการณ์ทางธุรกิจหรือเมื่อต้องการให้ดูกระฉับกระเฉง ที่น่าสนใจคือ เวลาที่พูดโทรศัพท์ คนญี่ปุ่นก็มักจะเปลี่ยนโทนเสียงทันที จากเสียงปกติเป็นเสียงที่สูงขึ้นและสุภาพมากขึ้น แม้จะกำลังคุยกับคนในครอบครัวก็ตาม เช่น "สวัสดีค่ะ/ครับ" ด้วยเสียงที่สูงและสุภาพกว่าปกติ สำหรับเรื่องการจีบกัน คนญี่ปุ่นก็มีวิธีที่เป็นเอกลักษณ์ คุณมิกุเล่าว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นจะไม่บอกตรงๆ ว่าชอบใคร แต่จะใช้วิธีอ้อมๆ เช่น บอกว่า "รถไฟขบวนสุดท้ายหมดแล้ว" ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัยว่าอยากไปบ้านของอีกฝ่ายหรือไปโรงแรมด้วยกัน นี่เป็นเทคนิคที่ผู้หญิงญี่ปุ่นใช้เพื่อให้ผู้ชายเป็นฝ่าย "สารภาพรัก" แทน
นอกจากนี้ การใช้คำว่า "สุมิมาเซน" (ขอโทษ/ขอบคุณ) ในภาษาญี่ปุ่นยังสามารถใช้ได้หลากหลายความหมาย ทั้งการขอโทษ การขอบคุณ หรือแม้แต่การทักทาย เป็นคำอเนกประสงค์ที่คนต่างชาติสามารถใช้ได้ในหลายสถานการณ์ คุณมิกุยังให้เคล็ดลับสำหรับคนต่างชาติที่สนใจจีบคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะผู้หญิงญี่ปุ่น นั่นคือการชมอย่างจริงใจและบ่อยๆ เนื่องจากผู้ชายญี่ปุ่นมักไม่ค่อยชมผู้หญิงตรง ๆ ดังนั้นเมื่อคนต่างชาติชมพวกเธอ ก็มีโอกาสสร้างความประทับใจได้ไม่ยาก
สุดท้าย คุณมิกุเล่าถึงความภาคภูมิใจในตัวตนของคนญี่ปุ่น ซึ่งเธอมองว่าสิ่งที่ทำให้คนญี่ปุ่นแตกต่างจากชาติอื่นคือความสุภาพและการให้ความสำคัญกับการบริการลูกค้าอย่างเต็มที่ รวมถึงความขี้อายที่เธอคิดว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของคนญี่ปุ่น นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องราวความเป็นญี่ปุ่นที่คุณมิกุได้เปิดเผยไว้ในรายการ หากคุณสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นและการอยู่ร่วมกับคนญี่ปุ่น ไม่ควรพลาดการรับชมรายการ "ดูให้รู้" ตอน "มาเมาท์ความญี่ปุ่นจากปากคำคนญี่ปุ่นกัน"
ติดตามชมได้ในรายการ ดูให้รู้ วันอาทิตย์ที่ 27 เมษายน 2568 เวลา 17.30 - 18.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมผ่านทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live และติดตามความเคลื่อนไหวของรายการได้ที่ www.facebook.com/Dohiru
แท็กที่เกี่ยวข้อง:
-