หากคุณกำลังประสบปัญหา หูอื้อ หรือ เสียงรบกวนในหู อย่ามองข้ามอาการเหล่านี้ เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการรักษา บทความนี้จะแนะนำให้คุณรู้จักกับอาการที่ควรสังเกต และวิธีการดูแลสุขภาพหูอย่างถูกต้องจาก ผศ. พญ.ภาณินีจารุศรีพันธุ์ หน่วยโสตประสาท โสตสัมผัส และอรรถบัดวิทยา ร.พ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
เสียงรบกวนในหู แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก
กลุ่มแรก คือ เสียงที่คนไข้ได้ยินอยู่คนเดียว ไม่มีแหล่งกำเนิดเสียง เช่น เสียงวี๊ดแหลมๆ เสียงจักจั่น หรือเสียงซ่าๆ หึ่งๆ ในหู
กลุ่มที่ 2 คือ เสียงที่คนรอบข้างสามารถได้ยินด้วย ซึ่งจะมีแหล่งกำเนิดเสียงที่สามารถตรวจพบได้ เช่น เสียงชีพจรเต้น
เมื่อมารับบริการที่สถานพยาบาล แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจบริเวณหู ศีรษะ ลำคอ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีเสียงชีพจรเต้น จะให้ความสำคัญกับการตรวจเส้นเลือดบริเวณหู ศีรษะ และลำคอ
สำหรับกลุ่มที่มีเสียง วี๊ด อยู่ตลอดเวลา จะได้รับการตรวจระดับการได้ยิน ในห้องเก็บเสียง โดยนักแก้ไขการได้ยิน เพื่อวัดระดับความดังน้อยที่สุดที่คนไข้ได้ยิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับปัญหาประสาทหูเสื่อม ต้องใช้เครื่องช่วยฟัง
การรักษาขึ้นอยู่กับกลุ่มอาการของคนไข้
- กลุ่มแรกที่มีเสียงรบกวนตลอดเวลา อาจต้องใช้เครื่องช่วยฟังเพื่อขยายเสียง
- กลุ่มที่มีเสียงชีพจรเต้น อาจต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เจาะเลือด หรือเอ็กซเรย์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดหรือก้อนเนื้องอก
1. อย่าสนใจมากเกินไปกับเสียงรบกวน พยายามไปสนใจสิ่งอื่นแทน
2. เข้าใจว่าเสียงอาจดังขึ้นลงได้ตามสภาพร่างกาย เช่น เมื่อเครียด นอนน้อย หรือเหนื่อยมาก
3. แก้ปัญหานอนไม่หลับ อาจต้องใช้ยานอนหลับช่วย เพื่อให้หลับได้ดีขึ้น และเสียงก็จะค่อยๆ เบาลง
4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสเสียงดังๆ ใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียง เช่น ปลั๊กอุดหู เมื่อต้องอยู่ในที่เสียงดัง
5. ระวังการใช้ยาบางชนิดที่อาจส่งผลเสียต่อการได้ยิน
การเอาใจใส่ดูแลสุขภาพหูเป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัญหา หูอื้อ หรือ เสียงรบกวนในหู อาจเป็นสัญญาณของโรคที่ต้องได้รับการรักษา หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม
https://www.thaipbs.or.th/program/KonSuRoak/watch/1E9nGD
https://www.thaipbs.or.th/program/KonSuRoak/watch/CdWnFU
ชมย้อนหลังรายการคนสู้โรคได้ที่ www.thaipbs.or.th/KonSuRoak
หากคุณกำลังประสบปัญหา หูอื้อ หรือ เสียงรบกวนในหู อย่ามองข้ามอาการเหล่านี้ เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ต้องได้รับการรักษา บทความนี้จะแนะนำให้คุณรู้จักกับอาการที่ควรสังเกต และวิธีการดูแลสุขภาพหูอย่างถูกต้องจาก ผศ. พญ.ภาณินีจารุศรีพันธุ์ หน่วยโสตประสาท โสตสัมผัส และอรรถบัดวิทยา ร.พ.จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
เสียงรบกวนในหู แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก
กลุ่มแรก คือ เสียงที่คนไข้ได้ยินอยู่คนเดียว ไม่มีแหล่งกำเนิดเสียง เช่น เสียงวี๊ดแหลมๆ เสียงจักจั่น หรือเสียงซ่าๆ หึ่งๆ ในหู
กลุ่มที่ 2 คือ เสียงที่คนรอบข้างสามารถได้ยินด้วย ซึ่งจะมีแหล่งกำเนิดเสียงที่สามารถตรวจพบได้ เช่น เสียงชีพจรเต้น
เมื่อมารับบริการที่สถานพยาบาล แพทย์จะทำการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และตรวจบริเวณหู ศีรษะ ลำคอ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีเสียงชีพจรเต้น จะให้ความสำคัญกับการตรวจเส้นเลือดบริเวณหู ศีรษะ และลำคอ
สำหรับกลุ่มที่มีเสียง วี๊ด อยู่ตลอดเวลา จะได้รับการตรวจระดับการได้ยิน ในห้องเก็บเสียง โดยนักแก้ไขการได้ยิน เพื่อวัดระดับความดังน้อยที่สุดที่คนไข้ได้ยิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับปัญหาประสาทหูเสื่อม ต้องใช้เครื่องช่วยฟัง
การรักษาขึ้นอยู่กับกลุ่มอาการของคนไข้
- กลุ่มแรกที่มีเสียงรบกวนตลอดเวลา อาจต้องใช้เครื่องช่วยฟังเพื่อขยายเสียง
- กลุ่มที่มีเสียงชีพจรเต้น อาจต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เจาะเลือด หรือเอ็กซเรย์ เพื่อตรวจหาความผิดปกติของหลอดเลือดหรือก้อนเนื้องอก
1. อย่าสนใจมากเกินไปกับเสียงรบกวน พยายามไปสนใจสิ่งอื่นแทน
2. เข้าใจว่าเสียงอาจดังขึ้นลงได้ตามสภาพร่างกาย เช่น เมื่อเครียด นอนน้อย หรือเหนื่อยมาก
3. แก้ปัญหานอนไม่หลับ อาจต้องใช้ยานอนหลับช่วย เพื่อให้หลับได้ดีขึ้น และเสียงก็จะค่อยๆ เบาลง
4. หลีกเลี่ยงการสัมผัสเสียงดังๆ ใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียง เช่น ปลั๊กอุดหู เมื่อต้องอยู่ในที่เสียงดัง
5. ระวังการใช้ยาบางชนิดที่อาจส่งผลเสียต่อการได้ยิน
การเอาใจใส่ดูแลสุขภาพหูเป็นสิ่งสำคัญ เพราะปัญหา หูอื้อ หรือ เสียงรบกวนในหู อาจเป็นสัญญาณของโรคที่ต้องได้รับการรักษา หากมีอาการผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสม
https://www.thaipbs.or.th/program/KonSuRoak/watch/1E9nGD
https://www.thaipbs.or.th/program/KonSuRoak/watch/CdWnFU
ชมย้อนหลังรายการคนสู้โรคได้ที่ www.thaipbs.or.th/KonSuRoak