สำนวน "กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่" เป็นคำพูดที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินของคนสามัญในสังคมไทยโบราณได้เป็นอย่างดี โดยสำนวนนี้มีที่มาจากความแตกต่างในการบริโภคอาหารระหว่างชนชั้นในสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและสภาพความเป็นอยู่ของคนระดับล่าง
ในสมัยก่อน ชาวบ้านหรือไพร่ทั่วไปมักไม่ได้กินของหวานเป็นประจำ เนื่องจากการทำขนมหวานนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากและใช้ทรัพยากรที่หายาก อาหารหลักในชีวิตประจำวันของพวกเขาคือข้าวกับกับข้าวพื้น ๆ ที่หาได้จากธรรมชาติรอบตัว เช่น ข้าวกับปลา ข้าวกับน้ำพริก ข้าวกับเกลือ หรือข้าวกับผักที่เก็บได้ตามฤดูกาล
ชีวิตของชาวไพร่เต็มไปด้วยการทำงานหนักตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะประกอบอาหารซับซ้อนหรือหรูหรา การได้กินของหวานหรือขนมจึงเป็นเรื่องพิเศษที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยมักจะได้กินเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญหรืองานบุญประเพณีเท่านั้น เพราะขนมไม่ได้มีขายทั่วไปและไม่ได้ทำกินกันในชีวิตประจำวัน
ความหวานที่ชาวไพร่ได้ลิ้มรสส่วนใหญ่มาจากผลไม้ตามฤดูกาลที่พบได้ในป่าหรือตามทุ่งนา ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายในธรรมชาติ แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องฤดูกาล ไม่สามารถหาได้ตลอดทั้งปี ต่างจากในปัจจุบันที่เราสามารถซื้อผลไม้ได้ตลอดทั้งปีในซูเปอร์มาร์เก็ต
การทำขนมในสมัยก่อนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีขั้นตอนยุ่งยากและต้องใช้วัตถุดิบหลายอย่างที่มีราคาแพง เช่น น้ำตาล แป้ง และไข่ ซึ่งคนสามัญไม่มีกำลังซื้อมาก น้ำตาลที่ใช้ในสมัยก่อนก็ไม่ได้มีพร้อมใช้เหมือนปัจจุบัน ต้องมีการนำน้ำตาลจากต้นตาลหรือต้นมะพร้าวมาเคี่ยวให้เข้มข้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและแรงงานมาก
ในขณะที่คนชั้นสูงหรือเจ้านายมีโอกาสได้กินทั้งอาหารคาวและหวานอย่างหลากหลาย มีทั้งขนมหวานที่ปรุงอย่างวิจิตรบรรจง และอาหารรสเลิศจากหลากหลายแหล่ง แตกต่างจากไพร่สามัญที่กินเพียงเพื่อประทังชีวิตเป็นหลัก
คำว่า "สันดานไพร่" ในสำนวนนี้จึงไม่ได้หมายถึงนิสัยที่ไม่ดีหรือต่ำทราม แต่หมายถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและข้อจำกัดในการดำรงชีพของคนสามัญ ที่ไม่สามารถเข้าถึงความหรูหราฟุ่มเฟือยได้เหมือนคนชั้นสูง
????ชม #ละคร #สังข์ทองไม้พลองทองใบ กับการตายของคุณพระ ได้ทาง www.VIPA.me และ www.thaipbs.or.th/TheDeathOfKhunphra
สำนวน "กินคาวไม่กินหวาน สันดานไพร่" เป็นคำพูดที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมการกินของคนสามัญในสังคมไทยโบราณได้เป็นอย่างดี โดยสำนวนนี้มีที่มาจากความแตกต่างในการบริโภคอาหารระหว่างชนชั้นในสังคม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงข้อจำกัดทางเศรษฐกิจและสภาพความเป็นอยู่ของคนระดับล่าง
ในสมัยก่อน ชาวบ้านหรือไพร่ทั่วไปมักไม่ได้กินของหวานเป็นประจำ เนื่องจากการทำขนมหวานนั้นเป็นเรื่องยุ่งยากและใช้ทรัพยากรที่หายาก อาหารหลักในชีวิตประจำวันของพวกเขาคือข้าวกับกับข้าวพื้น ๆ ที่หาได้จากธรรมชาติรอบตัว เช่น ข้าวกับปลา ข้าวกับน้ำพริก ข้าวกับเกลือ หรือข้าวกับผักที่เก็บได้ตามฤดูกาล
ชีวิตของชาวไพร่เต็มไปด้วยการทำงานหนักตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ทำให้ไม่มีเวลามากพอที่จะประกอบอาหารซับซ้อนหรือหรูหรา การได้กินของหวานหรือขนมจึงเป็นเรื่องพิเศษที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก โดยมักจะได้กินเฉพาะในช่วงเทศกาลสำคัญหรืองานบุญประเพณีเท่านั้น เพราะขนมไม่ได้มีขายทั่วไปและไม่ได้ทำกินกันในชีวิตประจำวัน
ความหวานที่ชาวไพร่ได้ลิ้มรสส่วนใหญ่มาจากผลไม้ตามฤดูกาลที่พบได้ในป่าหรือตามทุ่งนา ซึ่งเป็นสิ่งที่หาได้ง่ายในธรรมชาติ แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องฤดูกาล ไม่สามารถหาได้ตลอดทั้งปี ต่างจากในปัจจุบันที่เราสามารถซื้อผลไม้ได้ตลอดทั้งปีในซูเปอร์มาร์เก็ต
การทำขนมในสมัยก่อนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีขั้นตอนยุ่งยากและต้องใช้วัตถุดิบหลายอย่างที่มีราคาแพง เช่น น้ำตาล แป้ง และไข่ ซึ่งคนสามัญไม่มีกำลังซื้อมาก น้ำตาลที่ใช้ในสมัยก่อนก็ไม่ได้มีพร้อมใช้เหมือนปัจจุบัน ต้องมีการนำน้ำตาลจากต้นตาลหรือต้นมะพร้าวมาเคี่ยวให้เข้มข้น ซึ่งเป็นกระบวนการที่ใช้เวลาและแรงงานมาก
ในขณะที่คนชั้นสูงหรือเจ้านายมีโอกาสได้กินทั้งอาหารคาวและหวานอย่างหลากหลาย มีทั้งขนมหวานที่ปรุงอย่างวิจิตรบรรจง และอาหารรสเลิศจากหลากหลายแหล่ง แตกต่างจากไพร่สามัญที่กินเพียงเพื่อประทังชีวิตเป็นหลัก
คำว่า "สันดานไพร่" ในสำนวนนี้จึงไม่ได้หมายถึงนิสัยที่ไม่ดีหรือต่ำทราม แต่หมายถึงวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและข้อจำกัดในการดำรงชีพของคนสามัญ ที่ไม่สามารถเข้าถึงความหรูหราฟุ่มเฟือยได้เหมือนคนชั้นสูง
????ชม #ละคร #สังข์ทองไม้พลองทองใบ กับการตายของคุณพระ ได้ทาง www.VIPA.me และ www.thaipbs.or.th/TheDeathOfKhunphra