อารมณ์เป็นต้นตอแห่งความวิบัติและความสุขได้เช่นกัน การควบคุมอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเกิดอารมณ์ชั่ววูบและโพสต์ข้อความขู่ในโซเชียลมีเดีย แม้ว่าจะไม่ได้มีเจตนาจะทำตามที่ขู่จริง แต่ก็สร้างความเสียหายและความหวาดกลัวให้กับผู้อื่นได้
กรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้น มีผู้โพสต์ข้อความขู่ว่าจะทำการกราดยิงในงานคอสเพลย์หากประเทศไม่มีกฎหมาย ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้จัดงานและผู้ร่วมงาน ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย และนำไปสู่การดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทนายพีท พีรภัทร อธิบายว่า การก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 คือการกระทำที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ชีวิต หรือเกี่ยวกับสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐ โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ เป็นการขู่เข็ญหรือบังคับให้รัฐบาล องค์กรระหว่างประเทศ หรือหน่วยงานต่าง ๆ กระทำหรือไม่กระทำการใด ๆ
หากการขู่ทำให้เชื่อได้ว่าจะมีการกระทำการก่อการร้ายจริง ก็จะมีความผิดฐานขู่เข็ญเพื่อการก่อการร้าย ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ในขณะที่การก่อการร้ายจริงมีโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต
แม้ว่าผู้โพสต์อาจอ้างว่าไม่มีเจตนาหรือไม่มีใครเชื่อว่าจะทำจริง แต่การโพสต์ข้อความขู่ยังอาจผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2) ซึ่งเป็นการใส่ข้อความอันเป็นเท็จที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบความมั่นคงของประเทศ โดยมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
การขู่ในสถานที่ควบคุมพิเศษ เช่น สนามบิน มีกฎหมายเฉพาะคือ พ.ร.บ. การเดินอากาศ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แม้กระทั่งการพูดคำว่า "ระเบิด" หรือ "ปืน" ในสนามบินก็อาจนำไปสู่ความผิดทางกฎหมายได้
การขู่ส่วนตัวระหว่างบุคคลนั้น จัดเป็นความผิดลหุโทษ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท แต่การขู่ในที่สาธารณะหรือโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับสาธารณชน จะมีโทษหนักกว่า
กฎหมายมีการพิจารณาโทษตามอายุของผู้กระทำความผิด
สำหรับกรณีเด็กและเยาวชนกระทำความผิด พ่อแม่หรือผู้ปกครองอาจต้องร่วมรับผิดทางแพ่งด้วย หากเกิดความเสียหาย โดยต้องชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวนเท่ากับที่บุตรต้องรับผิด
หากพบเห็นการโพสต์ข้อความที่เข้าข่ายผิดกฎหมายและอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อสังคม ประชาชนสามารถแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ซึ่งถือเป็นการทำหน้าที่พลเมืองดีในการช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม
"ก่อนพิมพ์ก่อนคีย์อะไร เราเป็นนายของมัน แต่เมื่อพิมพ์อะไรไปแล้ว ดิจิทัลฟุตปรินต์อยู่ไปอีกนาน" - ทนายพีท พีรภัทร
การมีสติก่อนโพสต์ข้อความใด ๆ บนโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้จะลบข้อความไปแล้ว ก็อาจมีผู้แคปจอภาพเอาไว้ได้ และการอ้างว่ารู้กฎหมายแล้วยังกระทำความผิด อาจยิ่งทำให้ได้รับโทษหนักขึ้น
การใช้โซเชียลมีเดียอย่างระมัดระวัง คิดก่อนโพสต์ และไม่ใช้อารมณ์นำเหตุผล จะช่วยป้องกันการกระทำความผิดที่อาจส่งผลเสียทั้งต่อตัวเองและสังคมโดยรวม
การโพสต์ข้อความขู่บนโซเชียลมีเดียอาจนำไปสู่ความผิดทางกฎหมายที่ร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นความผิดฐานก่อการร้าย พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ หรือกฎหมายอื่นๆ แม้จะเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ ก็อาจส่งผลให้ต้องรับโทษจำคุกและปรับเป็นจำนวนมาก จึงควรมีสติและคิดให้รอบคอบก่อนโพสต์ข้อความใดๆ บนโซเชียลมีเดีย
ชมย้อนหลังรายการ "วันใหม่วาไรตี้" ในช่วง "รู้ทันกันได้" ได้ที่ www.thaipbs.or.th/RuTanKanDai
อารมณ์เป็นต้นตอแห่งความวิบัติและความสุขได้เช่นกัน การควบคุมอารมณ์จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะหากเกิดอารมณ์ชั่ววูบและโพสต์ข้อความขู่ในโซเชียลมีเดีย แม้ว่าจะไม่ได้มีเจตนาจะทำตามที่ขู่จริง แต่ก็สร้างความเสียหายและความหวาดกลัวให้กับผู้อื่นได้
กรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้น มีผู้โพสต์ข้อความขู่ว่าจะทำการกราดยิงในงานคอสเพลย์หากประเทศไม่มีกฎหมาย ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้จัดงานและผู้ร่วมงาน ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัย และนำไปสู่การดำเนินคดีตามกฎหมาย
ทนายพีท พีรภัทร อธิบายว่า การก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 คือการกระทำที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ชีวิต หรือเกี่ยวกับสาธารณูปโภคของหน่วยงานรัฐ โดยมีองค์ประกอบสำคัญคือ เป็นการขู่เข็ญหรือบังคับให้รัฐบาล องค์กรระหว่างประเทศ หรือหน่วยงานต่าง ๆ กระทำหรือไม่กระทำการใด ๆ
หากการขู่ทำให้เชื่อได้ว่าจะมีการกระทำการก่อการร้ายจริง ก็จะมีความผิดฐานขู่เข็ญเพื่อการก่อการร้าย ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ในขณะที่การก่อการร้ายจริงมีโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต
แม้ว่าผู้โพสต์อาจอ้างว่าไม่มีเจตนาหรือไม่มีใครเชื่อว่าจะทำจริง แต่การโพสต์ข้อความขู่ยังอาจผิดตาม พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2) ซึ่งเป็นการใส่ข้อความอันเป็นเท็จที่น่าจะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบความมั่นคงของประเทศ โดยมีโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
การขู่ในสถานที่ควบคุมพิเศษ เช่น สนามบิน มีกฎหมายเฉพาะคือ พ.ร.บ. การเดินอากาศ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี แม้กระทั่งการพูดคำว่า "ระเบิด" หรือ "ปืน" ในสนามบินก็อาจนำไปสู่ความผิดทางกฎหมายได้
การขู่ส่วนตัวระหว่างบุคคลนั้น จัดเป็นความผิดลหุโทษ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท แต่การขู่ในที่สาธารณะหรือโพสต์บนโซเชียลมีเดีย ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับสาธารณชน จะมีโทษหนักกว่า
กฎหมายมีการพิจารณาโทษตามอายุของผู้กระทำความผิด
สำหรับกรณีเด็กและเยาวชนกระทำความผิด พ่อแม่หรือผู้ปกครองอาจต้องร่วมรับผิดทางแพ่งด้วย หากเกิดความเสียหาย โดยต้องชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวนเท่ากับที่บุตรต้องรับผิด
หากพบเห็นการโพสต์ข้อความที่เข้าข่ายผิดกฎหมายและอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อสังคม ประชาชนสามารถแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ ซึ่งถือเป็นการทำหน้าที่พลเมืองดีในการช่วยรักษาความสงบเรียบร้อยในสังคม
"ก่อนพิมพ์ก่อนคีย์อะไร เราเป็นนายของมัน แต่เมื่อพิมพ์อะไรไปแล้ว ดิจิทัลฟุตปรินต์อยู่ไปอีกนาน" - ทนายพีท พีรภัทร
การมีสติก่อนโพสต์ข้อความใด ๆ บนโซเชียลมีเดียเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้จะลบข้อความไปแล้ว ก็อาจมีผู้แคปจอภาพเอาไว้ได้ และการอ้างว่ารู้กฎหมายแล้วยังกระทำความผิด อาจยิ่งทำให้ได้รับโทษหนักขึ้น
การใช้โซเชียลมีเดียอย่างระมัดระวัง คิดก่อนโพสต์ และไม่ใช้อารมณ์นำเหตุผล จะช่วยป้องกันการกระทำความผิดที่อาจส่งผลเสียทั้งต่อตัวเองและสังคมโดยรวม
การโพสต์ข้อความขู่บนโซเชียลมีเดียอาจนำไปสู่ความผิดทางกฎหมายที่ร้ายแรง ไม่ว่าจะเป็นความผิดฐานก่อการร้าย พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ หรือกฎหมายอื่นๆ แม้จะเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ ก็อาจส่งผลให้ต้องรับโทษจำคุกและปรับเป็นจำนวนมาก จึงควรมีสติและคิดให้รอบคอบก่อนโพสต์ข้อความใดๆ บนโซเชียลมีเดีย
ชมย้อนหลังรายการ "วันใหม่วาไรตี้" ในช่วง "รู้ทันกันได้" ได้ที่ www.thaipbs.or.th/RuTanKanDai