ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชศาสตร์ รศ. ภก.บดินทร์ ติวสุวรรณ จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ยาหลายประเภทสามารถทำให้ผิวหนังเรามีความไวต่อแสงมากขึ้น หรือเกิดปฏิกิริยาต่อแสงได้ เนื่องจากเมื่อเรารับประทานยาเข้าไปแล้ว ยาจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และเมื่อมีแสงยูวีผ่านผิวหนังเข้าไป อาจกระตุ้นให้ยาเกิดการแพ้ที่ผิวหนังได้
กลไกการเกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่
อนุพันธ์วิตามินเอที่ใช้รักษาสิวเป็นยารับประทานที่มีความเสี่ยงสูงต่อการทำให้ผิวหนังไวต่อแสง เมื่อรับประทานยานี้ ผิวหน้าจะแห้งและไวต่อแสงมากขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดด
ยาต้านอักเสบบางชนิดที่เรารับประทานเวลาปวดประจำเดือนหรือมีอาการเจ็บปวดอื่น ๆ อาจทำให้เกิดการแพ้แสงได้ แม้ว่าในคนเอเชียจะพบอาการนี้น้อยมาก
ยาปฏิชีวนะบางชนิดที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อก็สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงได้ แต่พบได้ไม่บ่อยในคนเอเชีย
ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงก็อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสงได้เช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเมื่อสัมผัสแสงแดด
หากมีอาการผิดปกติหลังรับประทานยาและสัมผัสแสงแดด ควรสังเกตอาการดังต่อไปนี้
สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ อาการแพ้แสงอาจไม่เกิดขึ้นทันทีหลังจากสัมผัสแสงแดด บางครั้งอาจเกิดขึ้นหลังจากนั้น 1 - 2 วัน และผื่นอาจลามไปยังบริเวณที่ไม่ได้สัมผัสแสงแดดโดยตรงด้วย
ข่าวดีสำหรับคนไทยและคนเอเชียคือ มีความเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงจากยาน้อยกว่าคนผิวขาว รศ. ภก.บดินทร์ อธิบายว่า ในคนเอเชียเกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงน้อยมาก จนแทบไม่มีรายงาน เมื่อเทียบกับคนผิวขาวในแถบยุโรปหรืออเมริกา ซึ่งอาจเป็นเพราะลักษณะของเม็ดสีผิวที่ทำให้คนเอเชียมีความทนทานต่อแสงแดดมากกว่า
คนเอเชียมีเม็ดสีผิวที่แข็งแกร่งและทนต่อสภาพอากาศได้ดีกว่า ทำให้มีการป้องกันตามธรรมชาติจากรังสียูวีได้ดีกว่าคนผิวขาว นี่เป็นปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้คนเอเชียมีความเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงจากยาน้อยกว่า
แม้ว่าการเกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงจากยาจะไม่ได้ส่งผลให้เกิดมะเร็งผิวหนังโดยตรง แต่การอักเสบที่ผิวหนังซ้ำ ๆ สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ เนื่องจากการอักเสบทำให้เซลล์ผิวหนังเสียหายและมีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ได้มากขึ้น
แม้ไม่ได้รับประทานยาที่ทำให้ไวต่อแสง การสัมผัสรังสียูวีเป็นประจำก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังอยู่แล้ว นอกจากนี้รังสียูวียังเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดริ้วรอยและความแก่ก่อนวัยอีกด้วย
หากจำเป็นต้องใช้ยาที่อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสง สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงและป้องกันทั้ง UVA และ UVB ได้ ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 15 - 30 นาที และทาซ้ำทุก 2 - 3 ชั่วโมง
ร่มธรรมดาอาจไม่สามารถกันรังสียูวีได้ทั้งหมด จึงควรเลือกใช้ร่มที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับกันรังสียูวี ซึ่งทำจากวัสดุพิเศษที่สามารถกรองรังสียูวีได้ดี
ควรสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เน้นผ้าที่มีเนื้อหนา สีเข้ม หรือเสื้อผ้าที่ออกแบบมาพิเศษเพื่อกันรังสียูวี ซึ่งปัจจุบันมีเสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกายที่มีคุณสมบัติกันยูวีได้
ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วงเวลา 10.00 - 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มสูงสุด หากจำเป็นต้องออกนอกบ้านในช่วงเวลาดังกล่าว ควรใช้วิธีป้องกันอื่น ๆ ร่วมด้วย
หากสังเกตเห็นความผิดปกติที่ผิวหนังหลังรับประทานยาและสัมผัสแสงแดด ควรปฏิบัติดังนี้
ไม่ควรหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพราะอาจส่งผลต่อการรักษาโรคที่เป็นอยู่ ควรแจ้งอาการให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ เพื่อพิจารณาว่าอาการดังกล่าวสัมพันธ์กับยาที่รับประทานหรือไม่
หากหยุดยาเอง อาจทำให้โรคที่เป็นอยู่ไม่หาย และอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้ การตัดสินใจควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร
การใช้ยาที่อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสงนั้น ควรพิจารณาถึงประโยชน์ที่จะได้รับเทียบกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้วประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับจากการรับประทานยามักจะมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และความเสี่ยงเหล่านี้สามารถจัดการได้ด้วยการป้องกันที่เหมาะสม
สำหรับคนไทยและคนเอเชีย ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไปกับการใช้ยาที่อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสง เนื่องจากมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาน้อยกว่าคนผิวขาว อย่างไรก็ตาม การป้องกันผิวหนังจากรังสียูวีเป็นสิ่งที่ควรทำเสมอ ไม่ว่าจะรับประทานยาที่ทำให้ไวต่อแสงหรือไม่ก็ตาม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังและชะลอความแก่ของผิวพรรณ
ชมย้อนหลังรายการ "วันใหม่วาไรตี้" ในช่วง "รู้ทันกันได้" ได้ที่ www.thaipbs.or.th/RuTanKanDai
ผู้เชี่ยวชาญด้านเภสัชศาสตร์ รศ. ภก.บดินทร์ ติวสุวรรณ จากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ยาหลายประเภทสามารถทำให้ผิวหนังเรามีความไวต่อแสงมากขึ้น หรือเกิดปฏิกิริยาต่อแสงได้ เนื่องจากเมื่อเรารับประทานยาเข้าไปแล้ว ยาจะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และเมื่อมีแสงยูวีผ่านผิวหนังเข้าไป อาจกระตุ้นให้ยาเกิดการแพ้ที่ผิวหนังได้
กลไกการเกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่
อนุพันธ์วิตามินเอที่ใช้รักษาสิวเป็นยารับประทานที่มีความเสี่ยงสูงต่อการทำให้ผิวหนังไวต่อแสง เมื่อรับประทานยานี้ ผิวหน้าจะแห้งและไวต่อแสงมากขึ้น จึงควรหลีกเลี่ยงแสงแดดและทาครีมกันแดด
ยาต้านอักเสบบางชนิดที่เรารับประทานเวลาปวดประจำเดือนหรือมีอาการเจ็บปวดอื่น ๆ อาจทำให้เกิดการแพ้แสงได้ แม้ว่าในคนเอเชียจะพบอาการนี้น้อยมาก
ยาปฏิชีวนะบางชนิดที่ใช้ในการรักษาโรคติดเชื้อก็สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงได้ แต่พบได้ไม่บ่อยในคนเอเชีย
ยาบางชนิดที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงก็อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสงได้เช่นกัน ซึ่งอาจส่งผลต่อการเกิดปฏิกิริยาเมื่อสัมผัสแสงแดด
หากมีอาการผิดปกติหลังรับประทานยาและสัมผัสแสงแดด ควรสังเกตอาการดังต่อไปนี้
สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือ อาการแพ้แสงอาจไม่เกิดขึ้นทันทีหลังจากสัมผัสแสงแดด บางครั้งอาจเกิดขึ้นหลังจากนั้น 1 - 2 วัน และผื่นอาจลามไปยังบริเวณที่ไม่ได้สัมผัสแสงแดดโดยตรงด้วย
ข่าวดีสำหรับคนไทยและคนเอเชียคือ มีความเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงจากยาน้อยกว่าคนผิวขาว รศ. ภก.บดินทร์ อธิบายว่า ในคนเอเชียเกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงน้อยมาก จนแทบไม่มีรายงาน เมื่อเทียบกับคนผิวขาวในแถบยุโรปหรืออเมริกา ซึ่งอาจเป็นเพราะลักษณะของเม็ดสีผิวที่ทำให้คนเอเชียมีความทนทานต่อแสงแดดมากกว่า
คนเอเชียมีเม็ดสีผิวที่แข็งแกร่งและทนต่อสภาพอากาศได้ดีกว่า ทำให้มีการป้องกันตามธรรมชาติจากรังสียูวีได้ดีกว่าคนผิวขาว นี่เป็นปัจจัยทางพันธุกรรมที่ทำให้คนเอเชียมีความเสี่ยงต่อการเกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงจากยาน้อยกว่า
แม้ว่าการเกิดปฏิกิริยาไวต่อแสงจากยาจะไม่ได้ส่งผลให้เกิดมะเร็งผิวหนังโดยตรง แต่การอักเสบที่ผิวหนังซ้ำ ๆ สามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้ เนื่องจากการอักเสบทำให้เซลล์ผิวหนังเสียหายและมีโอกาสเกิดการกลายพันธุ์ได้มากขึ้น
แม้ไม่ได้รับประทานยาที่ทำให้ไวต่อแสง การสัมผัสรังสียูวีเป็นประจำก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังอยู่แล้ว นอกจากนี้รังสียูวียังเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดริ้วรอยและความแก่ก่อนวัยอีกด้วย
หากจำเป็นต้องใช้ยาที่อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสง สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำดังนี้
ควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงและป้องกันทั้ง UVA และ UVB ได้ ทาครีมกันแดดก่อนออกจากบ้านอย่างน้อย 15 - 30 นาที และทาซ้ำทุก 2 - 3 ชั่วโมง
ร่มธรรมดาอาจไม่สามารถกันรังสียูวีได้ทั้งหมด จึงควรเลือกใช้ร่มที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับกันรังสียูวี ซึ่งทำจากวัสดุพิเศษที่สามารถกรองรังสียูวีได้ดี
ควรสวมเสื้อผ้าที่มิดชิด เน้นผ้าที่มีเนื้อหนา สีเข้ม หรือเสื้อผ้าที่ออกแบบมาพิเศษเพื่อกันรังสียูวี ซึ่งปัจจุบันมีเสื้อผ้าสำหรับออกกำลังกายที่มีคุณสมบัติกันยูวีได้
ควรหลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วงเวลา 10.00 - 16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มสูงสุด หากจำเป็นต้องออกนอกบ้านในช่วงเวลาดังกล่าว ควรใช้วิธีป้องกันอื่น ๆ ร่วมด้วย
หากสังเกตเห็นความผิดปกติที่ผิวหนังหลังรับประทานยาและสัมผัสแสงแดด ควรปฏิบัติดังนี้
ไม่ควรหยุดยาเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร เพราะอาจส่งผลต่อการรักษาโรคที่เป็นอยู่ ควรแจ้งอาการให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบ เพื่อพิจารณาว่าอาการดังกล่าวสัมพันธ์กับยาที่รับประทานหรือไม่
หากหยุดยาเอง อาจทำให้โรคที่เป็นอยู่ไม่หาย และอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมาได้ การตัดสินใจควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์หรือเภสัชกร
การใช้ยาที่อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสงนั้น ควรพิจารณาถึงประโยชน์ที่จะได้รับเทียบกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น โดยทั่วไปแล้วประโยชน์ที่ผู้ป่วยจะได้รับจากการรับประทานยามักจะมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และความเสี่ยงเหล่านี้สามารถจัดการได้ด้วยการป้องกันที่เหมาะสม
สำหรับคนไทยและคนเอเชีย ไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไปกับการใช้ยาที่อาจทำให้ผิวหนังไวต่อแสง เนื่องจากมีโอกาสเกิดปฏิกิริยาน้อยกว่าคนผิวขาว อย่างไรก็ตาม การป้องกันผิวหนังจากรังสียูวีเป็นสิ่งที่ควรทำเสมอ ไม่ว่าจะรับประทานยาที่ทำให้ไวต่อแสงหรือไม่ก็ตาม เพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งผิวหนังและชะลอความแก่ของผิวพรรณ
ชมย้อนหลังรายการ "วันใหม่วาไรตี้" ในช่วง "รู้ทันกันได้" ได้ที่ www.thaipbs.or.th/RuTanKanDai