การเชิดชูวัฒนธรรมในกีฬาโอลิมปิก 
เคยสร้างพลัง เปลี่ยนวงการดนตรีไปทั่วโลกสมัยยังเป็น The Beatles พอล แมคคาร์ทนีย์ จึงเป็นหนึ่งในนักร้องชาวอังกฤษที่มาแสดงในพิธีเปิดมหกรรมกีฬาโอลิมปิกครั้งที่ 30 ร่วมกับศิลปินอังกฤษอีกคับคั่ง ขณะที่ดาราหนุ่มแดเนียล เคร็ก ผู้รับบทเจมส์บอนด์ 007 สามภาคล่าสุด ในหนังสั้น The Arrival รับภารกิจตามคำสั่งของพระราชินีผู้เป็นอีกสัญลักษณ์หนึ่งของสหราชอาณาจักร ก่อนจะเปิดตัวด้วยการที่สายลัยหนุ่ม และผู้แสดงแทน สมเด็จพระราชินีเอลิซาเบธที่ 2 กระโดดร่มชูชีพลงมากลางสนามในพิธีเปิด ก็เป็นอีกไฮไลท์ที่สร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชม ซึ่ง Danny Boyle ผู้กำกับดังจากเรื่อง Slumdog Millionaire ตั้งใจไม่ให้น้อยหน้าพิธีเปิดฝีมือจางอี้โหมวของประเทศจีนในโอลิมปิกครั้งที่แล้ว ด้วยการคัดเลือกผลงานฝีมือคนบันเทิงของอังกฤษ ทั้งฉากภาพยนตร์ และการแสดงประกอบเพลงร่วมสมัยอันโด่งดังต่างๆ มาสร้างสีสันได้อย่างเข้าถึงผู้ชมทั่วโลก
12,000 การแสดงทั่วประเทศ โดยไม่เสียค่าเข้าชมแม้แต่โชว์เดียว คือเทศกาลวัฒนธรรม London 20-12 Festival ที่ทางการอังกฤษมองไกลด้วยการรวบรวมศิลปะทุกแขนงทั้งเพลง ภาพยนตร์ ละครเวที มาจัดตลอด 12 สัปดาห์ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงกันยายน ครอบคลุมไปจนถึงการแข่งขันพาราลิมปิก เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว โดยไม่พลาดที่จะนำเช็กสเปียร์ กวีเอกผู้เป็นสะพานเชื่อมวัฒนธรรมระหว่างอังกฤษ และชาวโลก มาเป็นหนึ่งในจุดขาย ตั้งแต่การเชิญนักแสดงมาเล่นบทละครของเช็กสเปียร์ในสไตล์บ้านเกิด 38 เรื่อง 38 ภาษา รวมทั้งนำบทกลอนมาอ่านในพิธีเปิด การจัดนิทรรศการ ตลอดจนธีมจากวรรณกรรมเรื่อง The Tempest มาเป็นแรงบันดาลใจในพิธีเปิด
เพลง Under the Westway ผลงานการรวมตัวครั้งแรกในรอบ 13 ปีของวง Blur หรือการคืนสู่เวทีอีกครั้งของ สไปซ์ เกิร์ล ต้นแบบเกิร์ลกรุ๊ป เป็นอีกสองการแสดงทีเด็ดที่ประเทศอังกฤษเก็บไว้สำหรับพิธีปิดมหกรรมกีฬาระดับโลก เช่นเดียวกับการนำเพลงอังกฤษที่ชาวโลกคุ้นหู ทั้งจากท่อนฮุค หรือท่อนโซโลกีตาร์ จากกว่า 300 เพลงมาเรียงร้อยเป็นการแสดงชุดใหญ่เพลงเดียว สะท้อนต้นทุนทางวัฒนธรรมที่อังกฤษนำมาเสนอสู่สายตาทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักท่องเที่ยวที่ประเมินว่าจะเดินทางเข้ามาในลอนดอนมากกว่า 4 ล้านคน ทำให้การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นหนึ่งในโอกาสครั้งสำคัญที่อังกฤษ คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจจากมหกรรมกีฬา ควบคู่ไปกับมูลค่าทางวัฒนธรรม