หวนมองยุค “เป้าหมายเงินเฟ้อ”
นโยบายการเงินแบบเป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) ยังจะเหมาะกับเศรษฐกิจไทยหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการจัดลำดับความสำคัญของเป้าหมายนโยบายเศรษฐกิจมหภาค เพราะไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ในทุกมิติพร้อมๆกัน
ก่อนมาเป็น “เป้าหมายเงินเฟ้อ” ดังเช่นปัจจุบัน (เริ่มใช้ตั้งแต่กลางไตรมาสสองปี 2543) ประเทศไทยเคยใช้นโยบายการเงินมาแล้วหลายรูปแบบ ทั้ง เป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน (ก่อนกรกฎาคม 2540) และ เป้าหมายปริมาณเงิน (กรกฎาคม 2540 ถึง กลางไตรมาสสองปี 2543) แม้นโยบายการเงินแต่ละแบบมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันไป
หากพิจารณาประสบการณ์ที่ผ่านมาแล้วจะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ใช้เป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยน เศรษฐกิจไทยมีความร้อนแรง และเครื่องชี้วัดด้านราคาทรงตัวในระดับค่อนข้างสูง แต่หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยปรับมาใช้เป้าหมายเงินเฟ้อ ทำให้ระดับราคามีเสถียรภาพมากขึ้น และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำลงมา แต่ก็มิได้แย่ซะทีเดียว โดยอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (เป็นอัตราเงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาพลังงานและอาหารสด) เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ตั้งไว้เกือบจะร้อยทั้งร้อย (ปี 2543-2552 กรอบคือ 0% - 3.5% สำหรับปี 2553 เป็นต้นมา กรอบคือ 0.5% - 3.0%)
แต่ปัจจัยการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เร็วขึ้น ย่อมทำให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน จนอาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจได้ ทำให้มีบางมุมมองเสนอว่า นโยบายการเงินแบบเป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนอาจจะใช้ได้ผลดีกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อหรือไม่ ในการบริหารเศรษฐกิจระดับมหภาค
ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์หลายๆท่าน รวมทั้งเจ้าของรางวัลโนเบลอย่าง Robert A. Mundell ได้เคยศึกษาไว้แล้วว่า หากเศรษฐกิจใดมีการเคลื่อนย้ายทุนเสรี นโยบายการเงินของเศรษฐกิจนั้น จะสามารถนำไปผูกกับเป้าหมายภายนอก (อัตราแลกเปลี่ยน) หรือ เป้าหมายภายใน (อัตราดอกเบี้ย หรือ เงินเฟ้อ) ได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น เป็นที่รู้จักในวงการเศรษศาสตร์เป็นภาษาอังกฤษว่า “Impossible Trinity” กล่าวคือ
1. หากให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนเสรี และ อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ ก็ต้องใช้อัตราดอกเบี้ยเป็นตัวแปรคอยควบคุมการไหลเข้าออกของเงิน โดยหากมีเงินจากนอกไหลเข้าประเทศมากเกินไป ก็ต้องลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดแรงดึงดูดของเงินไหลเข้า เพื่อลดแรงกดดันและการเก็งกำไรบนค่าเงิน ซึ่งอาจไม่สามารถควบคุมภาวะเงินเฟ้อที่มาจากฝั่งอุปสงค์ได้ หรือ หากเป็นกรณีเงินไหลออกนอกประเทศ ก็ต้องขึ้นดอกเบี้ยให้สูงๆ เพื่อดึงดูดเงินจากต่างประเทศ ซึ่งอาจไปชะงักการเติบโตของเศรษฐกิจ นั่นคือ ทำให้ประเทศนั้นๆจะไม่สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจมหภาคภายในประเทศได้
2. หากต้องการให้อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ พร้อมๆ กับการกำหนดดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ก็ต้องมีการควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย ซึ่งจากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ประเทศที่ใช้นโยบายนี้จะไม่สามารถดำรงนโยบายนี้ไว้ได้ในระยะยาว อีกทั้ง การควบคุมเงินทุนเคลื่อนย้าย จะเป็นการเพิ่มต้นทุนทางธุรกรรมให้กับเศรษฐกิจที่พึ่งพาการค้าต่างประเทศเป็นจำนวนมหาศาลอย่างไทย จึงเป็นมาตรการที่มีการหยิบยกขึ้นมาใช้เฉพาะในยามเข้าตาจนจริงๆ
3. ท้ายสุด หากยังต้องการให้มีเงินทุนเคลื่อนย้ายเสรี และ กำหนดดอกเบี้ยให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจมหภาค ด้านอัตราแลกเปลี่ยนก็จะมีความผันผวน เช่น ดอกเบี้ยสูง เงินไหลเข้า ค่าเงินของประเทศนั้นๆก็จะแข็ง หรือ เป็นในทางกลับกัน ดอกเบี้ยต่ำ เงินไหลออก ค่าเงินก็จะอ่อน เป็นต้น ดังนั้น ธนาคารกลางจึงต้องแทรกแซงค่าเงิน เพื่อลดทอนผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาค ซึ่งกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจะส่งผลกระทบต่องบการเงินของธนาคารกลางได้
ทั้งนี้ IMF ได้ประมวลข้อมูลของประเทศที่ใช้เป้าหมายเงินเฟ้อกับไม่ใช้เป้าหมายเงินเฟ้อ พบว่า ในสองทศวรรษที่ผ่านมา โดยเปรียบเทียบกันแล้ว ประเทศที่ใช้เป้าหมายเงินเฟ้อ มีระดับเงินเฟ้อที่ลดลง อีกทั้งมีเสถียรภาพของอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจและระดับราคามากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะเห็นผลได้ชัดกว่าในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ แม้บางช่วงเวลาจะถูกกระทบจากวิกฤตภายนอกก็ตาม ซึ่งถ้าหากต้องการให้ธนาคารกลางมีช่องในการลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนมากขึ้น ก็อาจใช้วิธีขยับเป้าเงินเฟ้อกรอบบนให้สูงขึ้นในระดับที่สมควรได้ เพื่อลดข้อจำกัดของผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจที่อาจจะแรงไปบ้างเป็นบางขณะ รวมทั้ง มีการแทรกแซงอัตราแลกเปลี่ยนเพียงเท่าที่จะเกิดผลกระทบกับระบบเศรษฐกิจการเงินของประเทศอย่างมีนัยสำคัญเท่านั้น
สรุป หากผู้ดำเนินนโยบายการเงินต้องการใช้เป้าหมายอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อสร้างเสถียรภาพภายนอก ก็ต้องแลกกับความผันผวนของการเติบโตทางเศรษฐกิจและระดับราคาในประเทศที่อาจมากขึ้น ในทางกลับกัน หากผู้ดำเนินนโยบายต้องการรักษาเสถียรภาพด้านราคาและการเติบโตทางเศรษฐกิจในประเทศ อาจต้องยอมรับความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่เพิ่มขึ้น ฉะนั้น มุมมองที่แตกต่างกัน เพียงสะท้อนให้เห็น ถึงการให้ความสำคัญของเป้าหมายนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่เหมือนกัน โดยท้ายสุดจะออกหัวหรือก้อยนั้น คงต้องกลับไปมองที่เป้าหมายและบทบาทของธนาคารกลางกันจริงๆ สักที