ผู้ใช้สิทธิ์โครงการรถยนต์คันแรก จะทยอยได้รับเงินภาษีสรรพสามิตคืน ตั้งแต่ 5 ตุลาคมนี้ ซึ่งจนถึงขณะนี้ ยอดคำขอคืนเงินสูงถึงกว่า 210,000 คัน ขณะที่ยอดจองรถยนต์จากมาตรการรถยนต์คันแรกใกล้แตะเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ที่ 500,000 คัน ซึ่งโครงการจะสิ้นสุดลงในวันที 31 ธันวาคม 2555
ปริมาณรถยนต์ที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลกระทบกับการจราจร โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร และเขตปริมณฑล เพราะการขยายถนนไม่ทันกับปริมาณรถที่เพิ่ม
ทั้งนี้ เฉพาะในกรุงเทพฯ ยอดรถยนต์จดทะเบียนมีมากกว่า 7 ล้านคัน แต่ถนนในกรุงเทพฯ ความยาวรวม 5,887 กิโลเมตร สามารถรองรับได้เพียง 1.6 ล้านคันเท่านั้น
นั่นหมายความว่าจำนวนรถยนต์มีมากกว่าถนนประมาณ 4.4 เท่า และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี เพียง 8 เดือนแรกของปีนี้ รถจดทะเบียนใหม่มีเกือบ 700,000 คัน สูงเป็นประวัติการณ์
แม้การสนับสนุนโครงการรถคันแรกจะเน้นไปที่อีโค่คาร์ หรือรถยนต์ประหยัดพลังงาน ซึ่งคาดหวังว่าจะช่วยให้การใช้พลังงานเกิดประสิทธิภาพ แต่ปริมาณรถที่เพิ่มอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีถนนเพียงพอ ทำให้ต้องสูญเสียเชื้อเพลิงจากการจราจรที่ติดขัดหนักขึ้น สะท้อนจากยอดนำเข้าและยอดการใช้เชื้อเพลิงภาคขนส่งในปีนี้
นโยบายอุดหนุนและตรึงราคาพลังงานเป็นเหตุผลที่ทำให้ไม่เกิดความตระหนักในการประหยัดพลังงาน ทั้งที่ระบบขนส่งในเมืองหลวง มีทางเลือกมากกว่าในอดีต และแม้มีทางเลือก แต่ข้อเท็จจริง ประชาชนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ยังนิยมเดินทางด้วยรถส่วนตัวถึงร้อยละ 60 และใช้ระบบขนส่งมวลชนเพียงร้อยละ 40 เท่านั้น
สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน เคยศึกษาไว้ก่อนหน้านี้ว่า รถยนต์นั่ง 1600 ซีซี จะมีอัตราสิ้นเปลือง 10-12 กิโลเมตรต่อลิตร หากคำนวณจากการใช้งานเฉลี่ยปีละ 25,000 กิโลเมตร จะเป็นค่าใช้จ่ายเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงถึง 100,000 บาท หรือวันละไม่น้อยกว่า 270 บาท ซึ่งหากรถส่วนตัวในกรุงเทพฯที่มีอยู่กว่า 3 ล้านคัน จอดทิ้งไว้ที่บ้านเพียงวันเดียว จะประหยัดน้ำมันไปได้ 21 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเม็ดเงินกว่า 1,000 ล้านบาท