ผนึกกำลังดัน
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฏร กล่าวปาฐกถาปิดงาน ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา มีพิธีปิดการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 5 มีใจความระบุว่า ขอชื่นชมกระบวนการสมัชชาสุขภาพแห่งชาติที่ก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ในการประชุมครั้งนี้มีหลายหัวข้อ ที่สะท้อนให้เห็นความห่วงใยที่สอดคล้องกับเหตุการณ์และแนวโน้มที่เกิดขึ้นในโลก เช่นเรื่องเด็กไทยกับไอที ประเด็นที่เกี่ยวกับสารเคมีทางการเกษตรที่ปนเปื้อนในอาหาร และประเด็นเกี่ยวกับพลังงาน เช่น โรงไฟฟ้าชีวมวล การหยิบยกผลจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนของประเทศไทย ที่จะกระทบทั้งเรื่องสังคมและสุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งต่อไปก็จะต้องมีการค้นหาหัวข้อที่ท้าทายและตรงต่อสถานการณ์มาถกกันอีกครั้ง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด คือความห่วงใยที่มีต่อกระบวนการจัดทำนโยบายสาธารณะ ซึ่งภาคการเมืองมีส่วนร่วมอยู่ด้วย การทำนโยบายสาธารณะหลายประเด็นยังหวังผลไปในทางการเมือง แต่ในช่วง1ทศวรรษที่ผ่านมา ภาคการเมืองยังอยู่ในวังวนของความขัดแย้ง และเห็นว่า เรื่องที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ที่จะทำให้สังคมพัฒนาการสู่การทำนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมได้ คือ 1. ต้องทำให้สังคมเป็นสังคมเรียนรู้ ถ้าไม่สามารถทำให้สังคมที่มีมุมมองแตกต่างกัน หันหน้ามาคุยกันอย่างสมานฉันท์ได้ ความขัดแย้งในเชิงนโยบายจะไม่หมดไป 2.กระบวนการพัฒนาต้องนำเป้าหมายมาวางตรงหน้าแล้วชี้ให้เห็นว่าการเดินไปสู่เป้าหมายหนึ่ง จะส่งผลกระทบต่อเป้าหมายหนึ่งอย่างไร 3.ถ้าระบบการบริหารจัดการภาครัฐไม่โปร่งใส ก็จะบิดเบือนและทำลายเป้าหมายของการพัฒนา
“โครงสร้างที่กำหนดนโยบายสาธารณะคือฐานราก หรือคนไทยทุกคน ถ้าเรามีความพร้อม มั่นใจ มีพลังร่วมกันขับเคลื่อน เชื่อมั่นว่าภาคการเมืองจะตอบสนอง” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ดร.เสรี พงษ์พิศ อธิการบดีสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน กล่าวว่า สังคมไทยวันนี้ ยิ่งจีดีพีโต ความสุขกลับลด ไม่ได้เพิ่มตามเงินในกระเป๋า ไม่มียุคสมัยใดที่คนจะเหงา เครียด บ้า ฆ่าตัวตายเหมือนทุกวันนี้ ปัจจุบันปัญหาสุขภาพมาจากความขัดแย้ง กินยาหาหมออย่างเดียวแก้ไม่ได้ ต้องแก้แบบรอบด้าน เราจึงควรมีธรรมนูญสุขภาพ ธรรมนูญชีวิต ทุกนโยบายห่วงใยสุขภาพแปลว่าทุกภาคส่วนต้องผนึกพลัง เพราะ นโยบายสุขภาพดีมาจากฐานล่างหรือประชาชน