นายกฯ วอนอย่าเพิ่งตำหนิร่างรัฐธรรมนูญ-ชี้แจงใช้อำนาจตามม.44 แก้ปัญหาป่าไม้ที่ดิน
"ปัจจุบันกระบวนการ (ร่างรัฐธรรมนูญ) ยังไม่เสร็จสิ้น อยากจะบอกทุกคนว่าอย่าไปตำหนิติเตียนกันนักเลยนะครับ ก็น่าดีใจนะครับที่ทุกฝ่ายให้ความสนใจติดตามอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตามในประเด็นที่ยังไม่เรียบร้อยนี่ยังไม่ได้ข้อยุตินั้นก็อย่าเพิ่งไปขัดแย้งกันเลย ประเทศเราต้องไปดูก่อนว่าเราจำเป็นต้องปฏิรูปหรือเปล่า ถ้าคิดว่าไม่จำเป็นมันก็จบ มันก็ไม่ต้องไปร่างใหม่ เอาอันเก่ามาใช้เมื่อไรก็ได้ แต่ถ้าทุกคนคิดว่ามันต้องปฏิรูปแล้ว ก็ต้องมาดูซิว่าจะเขียนยังไงให้คนในประเทศยอมรับ ให้นักการเมือยอมรับด้วยนะและป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น" พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาว่าปัญหากฎกติกาบ้านเมืองมีช่องว่างตรงไหนที่ผ่านมา แล้วจึงร่างรัฐธรรมนูญเพื่อแก้ปัญหาตรงนั้น ไม่ใช่ต้องแก้ทั้งหมด เช่น ในเรื่องของการเมือง การเข้าสู่
อำนาจ การเป็นรัฐบาล เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอย่างที่ผ่านมา และเพื่อให้การเมืองไทยโปร่งใส มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้กติการที่ร่างขึ้นใหม่อาจจะไม่ตรงกับประเทศอื่น เพราะประเทศอื่นพัฒนาไปแล้ว
"เมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา ให้ไปเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายรัฐธรรมนูญของต่างประเทศที่เขาเกิดเหตุการณ์แบบเรานี่ มีการปฏิวัติรัฐประหาร มีการใช้อาวุธสงครามมีการต่อสู้กันในเมืองนี่ แล้วขั้นตอนเหล่านั้นจากตอนนั้นมาจนถึงทุกวันนี้เขาทำอะไรมาบ้าง ใช้เวลาเท่าไร แล้วแต่ละขั้นเขาทำยังไง นี่ต้องถามเขาแบบนี้ ไม่ได้ให้เขามาวิเคราะห์ว่ารัฐธรรมนูญไทยยังไง ไม่ใช่ให้คนไทยได้รับรู้ว่าถ้าจะเป็นอย่างที่เขาเป็นวันนี้ ต้องผ่านกระบวนการอะไรบ้าง วันนี้ทุกคนไม่ได้มองอะไรเลย มองว่าทำยังไงจะมีสตางค์ ทำยังไงจะแก้ปัญหาตรงโน้นตรงนี้ได้ ทำไงจะร่ำรวย ไม่ได้คิดว่าประเทศชาติอยู่ตรงไหน แล้วขั้นตอนมันเป็นยังไง ใจร้อนทุกคนน่ะ ก็เลยต้องเปลี่ยนแปลง ต้องใช้กำลัง ใช้อาวุธสงครามเลย ผมว่าไม่ใช่นะ ดูเขาซิ เราเคยเลิกทาสมา ไม่ได้เสียชีวิตเสียอะไรกันเลย ต่างประเทศเขาก็มีเหมือนกัน ที่ผมอยากให้เอามา ก็คือฝรั่งเศส และเยอรมันสถานการณ์คล้ายๆ เรา อย่ามาบอกว่าเขาเกิดนานมาแล้ว ไม่ใช่กับวันนี้ วันนี้ต้องย้อนกลับไปดูที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เอาเขามาดูแล้วเราก็ย่อเข้ามาว่าเราจะทำยังไง"
"รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะไปได้หรือไม่ได้ อยู่กับคนไทยทุกคน อยากจะปฏิรูปไหม อยากจะให้ดีกว่าเดิมไหม อยากอยู่ในความขัดแย้งหรือเปล่า อยากมีการเมืองที่บริสุทธิ์ยุติธรรมไหม เป็นธรรมไหม สร้างความเข้มแข็งของประเทศไหม เกษตรกรจะต้องมีเงิน มีรายได้มากขึ้นไหมในอนาคต ทุกอย่างต้องพัฒนาหมด ไม่งั้นประเทศไทยก็อ่อนด้อยอยู่อย่างนี้ ไปตลอด"
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวย้ำว่า ต้องเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้ได้และสร้างกลไกทำให้เกิดการปฏิรูปอย่างแท้จริงและเป็นรูปธรรม การร่างรัฐธรรมนูญ การเขียนบทเฉพาะกาล รวมทั้งการออกกฎหมายลูกต้องนำไปสู่การปฏิรูปประเทศ
"ปัญหาก็คือประชาชน ถ้ายอมรับ โอเค ประเทศไปหน้าแน่ ถ้าไม่ยอมรับกัน ประเทศถอยหลังกลับที่เดิมนะ ผมสรุปง่ายๆ แค่นี้" นายกฯ กล่าว และอธิบายว่าขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อย่างที่โลกต้องการ ซึ่งหลายประเทศก็ผ่านช่วงเวลาเช่นนี้มาก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลานานสักหน่อย
"การเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์นั้นไม่มีอะไรที่ได้มาเปล่าๆ ทุกคนต้องอดทน ต้องช่วยเหลือกัน แล้วมีมาตรการที่ทำให้เกิดเอื้ออำนวยต่อการปฏิรูปให้ได้อย่างแท้จริง ไม่งั้นก็พูดแต่ปาก ทำอะไรไม่ได้ วันหน้าก็กลับที่เก่า เพราะงั้นต้องสร้างความเข้มแข็งให้ข้าราชการ ข้าราชการท้องถิ่น ประชาชน ไม่มีความเหลื่อมล้ำ เข้าถึงกฎหมายความยุติธรรมทุกคน มีเงินมีทองใช้อย่างถูกต้อง เจริญเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน แล้วก็ไม่อยากให้ไปฟังอดีตต่างๆ ที่ออกมาพูดผมไม่อยากจะกล่าวถึงมากนักหรอกนะ รำคาญ น่าเบื่อหน่ายเหมือนกันนะ ก็พูดถึงแต่สิ่งที่ทำมาแล้วและมีปัญหาอยู่ในกระบวนการยุติธรรม ก็บอกว่าไม่เป็นธรรม อะไรเหล่านี้ ผมว่าท่านหยุดพูดได้แล้วนะ พอผมไปใช้อำนาจทางกฎหมายท่านก็บอกว่าผมไปปิดกันสิทธิเสรีภาพ สิทธิเสรีภาพที่ผ่านมาเป็นยังไงล่ะ บริหารประเทศได้ไหม มีกรปะท้วงหรือเปล่า แล้วเมื่อมีกรประท้วงแล้วใครใช้อาวุธสงครามยิงตอบคนที่เขามาประท้วง มันก็เกิดอย่างนี้ ปี 2553 ก็ชุดเดิมพอปี 2556-57 ก็ชุดเก่าอีกแหละ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หรือเป็นฝ่ายค้านก็ทำแบบเดิม นี่สังคมเข้าใจซะบ้างนะ ฟังอยู่ได้ อย่าไปฟังเขา ตามสื่อวิทยุโทรทัศน์ วันนี้ผมต้องปิดสถานีวิทยุ 6,000 กว่าแห่ง ผิดกฎหมายทั้งสิ้น ไม่เคยปฏิบัติตามกฎหมายเพราะสนับสนุนฝ่ายนักการเมือง เป็นของนักการเมืองเสียส่วนใหญ่ที่ไม่ค่อยดีนะ ไอ้ที่ดีอย่าไปพูด ผมไม่ได้ว่าทุกคน คนดีๆ เยอะแยะไป นะ ผมไม่ได้เข้าข้างใครทั้งสิ้น ใครรู้ตัวว่าดี ผมไม่ได้ว่าท่าน ถ้าใครรู้ตัวว่าไม่ดี ผมว่าท่าน แล้วกันนะ"
โต้เสียงวิจารณ์ รัฐบาลประชานิยม
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงกระแสวิจารณ์ที่ว่ารัฐบาลใช้งบประมาณทำโครงการประชานิยมมากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมา โดยตอบโต้ว่ารัฐบาลนำเงินไปช่วยเรื่องปัจจัยการผลิตให้เกษตรสวนยางและชาวไร่ และใช้งบประมาณน้อยกว่ารัฐบาลที่ผ่านมาอย่างมาก
"วันนี้มาบอกว่า รัฐบาลนี้ประชานิยมมากกว่า มากกว่าตรงไหน ผมไม่เข้าใจนะ บอกว่าเราเอาเงินไปให้สวนยาง ชาวไร่ ก็ช่วยปัจจัยการผลิตเขา ผมไม่ได้ไปซื้อของเขามา การรับซื้อของก็เป็นเรื่องของระบบสหกรณ์ แล้วใช้เงินน้อยกว่าท่านมหาศาล ท่านบอกว่าแล้วทำไมไปขึ้นเงินข้าราชการ ก็นี่จ่ายเงินให้เกษตรกรเป็นแสนล้านนะ ข้าราชการนี่เขาไม่ได้ขึ้นเงินเดือนมากี่ปีแล้วล่ะ ในห้วงที่ผ่านมาไม่เคยได้ขึ้นน่ะ แล้วขึ้นคนละ 300 – 500 บาทนี่เหรอ เดี๋ยวเกษตรกรเดือดร้อนก็ขออีก ผมต้องการให้เกิดความเป็นธรรมความเข้าใจซึ่งกันและกัน เกษตรกรก็ไม่ไปรังแก ไม่ไปร้องให้กับข้าราชการที่เขาดีๆ นะ ปัญหาที่ผ่านมาคือการเมือมันบิดเบือนทุกอย่างไปหมดนะ ผมก็ต้องโทษล่ะ เพราะที่ผ่านมาก็เป็นการเมือง ผมไม่เคยไปต่อแย้งโต้แย้งกับรัฐบาลเลยซักรัฐบาลหนึ่ง สั่งมาผมก็ทำให้หมดแหละ"
ตำหนิสื่อเลือกข้าง-โกหก "ถ้าปิด จะปิดทั้งหมด"
นายกฯ วิจารณ์การทำงานของสื่ออีกครั้งว่า ขณะนี้สื่อต่างๆ เลือกข้างทั้งหมด พร้อมกับเตือนว่าให้หยุดเสนอข่าวบิดเบือน เพราะอาจจะถูกปิดทั้งหมด โดยพล.อ.ประยุทธ์ไม่ได้ระบุว่าหมายถึงสื่อไหนและกรณีอะไร
"สัปดาห์ที่แล้วต้องไปเตือนกัน 2-3สถานี พูดอยู่นั้นแหละ พูดในสิ่งที่มันโกหก ผมอยากจะพูดว่าโกหก ผมก็เตือนแล้วอะไรแล้ว ผมไม่อยากไปยุ่งอะไรกับท่านน่ะ แต่ที่ผ่านมาท่านก็ทำแบบนี้ แล้วพอท่านทำแบบนี้ พออีกคนเข้ามาสู้ท่าน ท่านก็ไปรังแกอีกพวกเพื่อจะพูดข้างเดียว ไม่ใช่ ถ้าจะปิดก็ปิดทั้งหมด นะ เพราะงั้นก็ระมัดระวังกันก็แล้วกัน เดี๋ยวจะหาว่าผมไปละเมิดสิทธิสื่อด้วย สื่อที่มีจรรยาบรรณเขาเยอะแยะไป เพราะงั้นตักเตือนให้หยุดซะ การกระทำนั้นไม่ใช่ข้อเท็จจริง แล้วก็อ้างว่าเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ของสื่อ...ไม่ใช่ ผมไม่ต้องการนะ เพราะงั้นทำถูกทำผิดอะไรก็แล้วแต่ ทุกคนรู้ดีแก่ใจ ว่าใครถูกใครผิด อย่ามาโกหก บิดเบือนกันอีกต่อไป ให้มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หน่อยแล้วกันนะ คงเข้าใจนะ คงไม่แรงไปหรอก ขอโทษแล้วกัน ถ้าใครคิดว่าแรง อย่าไปหลบซ่อนอยู่ที่โน่นที่นี่ มาสู้ทางกฎหมายให้ชัดเจน ผมจะอำนวยความเป็นธรรมให้ นะครับ อย่าไปกล่าวอ้าง ประเทศชาติเสียหาย แล้วเอาคนโน้น คนนี้มาแก้ปัญหาให้เรา ไม่ใช่เรื่อง คนเหล่านี้เดี๋ยวคงต้องว่ากันต่อไปว่าจะทำกันยังไง"
เดินหน้าใช้อำนาจตามมาตรา 44 แก้ปัญหาป่าไม้ที่ดิน-ย้ายคนออกจากป่า
พล.อ.ประยุทธ์ฏล่าวว่า ในการแก้ปัญหาที่ดินทำกินนั้น รัฐบาลได้ทยอยมอบเอกสารในการขอใช้ประโยชน์ที่ดินให้แก่เกษตรกรที่ยังไม่มีที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยเราจัดทำอย่างเป็นระบบ โดยบูรณาการ 6 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง มีการขึ้นทะเบียนเกษตรกร การสำรวจการใช้สอยที่ดินทั่วประเทศจากภาพถ่ายดาวเทียมและการเข้าไปสำรวจพื้นที่ เมื่อมีข้อมูลว่าพื้นที่ตรงไหนเป็นพื้นที่ที่บุกรุกก็จะตรวจสอบ หากบุกรุกมาเป็นเวลานาน 10-20 ปีขึ้นไปและพื้นที่กลายสภาพเป็นป่าเสื่อมโทรมแล้ว ก็ต้องหาทางให้เขาอยู่ที่เดิมแต่จำกัดไม่ให้บุกรุกเพิ่มหรือนำที่ดินไปขายต่อ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องใช้มาตรา 44 ดูแล เพื่อให้จัดแก้ปัญหาได้
"ข้อสำคัญคือเราจะ ไม่ให้มีการซื้อขายสิทธิ์อีกต่อไป ที่ดินเหล่านั้นยังคงเป็นของรัฐอยู่ อันนี้ก็จะทำให้ทั่วประเทศนะครับ มีระยะที่ 1 และ 2 มีอยู่หลายจังหวัดนะครับ ในสว่นที่เป็นป่าต้นน้ำต้องเอาคนออมาทันทีโดยเร็วและโดยความสมัครใจ จากป่าต้นน้ำนี่ต้องออกมาหาที่ให้เขาอยู่ ถ้าอยู่ต่อไปมันก็เป็นอย่างนี้ ชำรุดทรุดโทรมไปเรื่อย เดี๋ยวก็ต้องทำถนนหนทางทำไฟฟ้า ทำประปาเข้าไป แล้วก็เรียกร้องว่าทำไมไม่ได้สักที ก็มันอยู่ในพื้นที่ต้นน้ำไง ทำให้มันก็ขยายต่อไป มีลูกมีหลานก็ป่าก็หมด เหมือนเดิม ต้องเอาออกมา มาอยู่ข้างนอกมาอยู่ในพื้นที่ที่ผมกำหนดไว้แล้วนี่ คณะกรรมการเขาเลือกมาแล้ว มีพื้นที่ที่บุกรุกอยู่แล้วเดิม มีพื้นที่ที่ว่างเปล่า เป็นพื้นที่ราชพัสดุที่ของราชการ เราก็จะใช้มาตรา 44 นี่ ให้สามารถอยู่ได้ อยู่ได้แล้วทำกินนะ ห้ามขาย หรือขยายพื้นที่รุกล้ำไปเหมือนเดิมอีกไม่ได้ต้องดำเนินการตมกฎหมายอย่างเคร่งครัดนะครับ เพื่อจะลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมความเป็นธรรม ยุติธรรม"
พล.อ.ประยุทธ์อธิบายว่าพื้นที่ที่จะแก้ปัญหาที่ดินทำกินโดยใช้อำนาจตามมาตรา 44 แบ่งเป็นระยะที่ 1 มีพื้นที่เป้าหมาย 6 แห่งใน 4 จังหวัดครอบคลุมพื้นที่ 53,697 ไร่ ระยะที่ 2 พื้นที่เป้าหมาย 8 แห่ง ใน 8 จังหวัด พื้นที่ 51,929 ไร่ รวมทั้งหมด 12 จังหวัด