เกาหลีใต้-สหรัฐฯ เตรียมรับมือการโจมตีจากเกาหลีเหนือ

 

ด้านโฆษกกระทรวงกลาโหมของเกาหลีใต้ ที่จับตาความเคลื่อนไหวในเกาหลีเหนือระบุว่า ขณะนี้ยังไม่พบการเตรียมยิงขีปนาวุธจากฝั่งเกาหลีเหนือ สอดคล้องกับการแถลงของโฆษกทำเนียบขาวที่ระบุว่าจนถึงขณะนี้ ยังไม่พบว่าเกาหลีเหนือดำเนินการเคลื่อนกำลังพลครั้งใหญ่ หรือตั้งจุดประจำการที่ผิดปกติ หรือสอดคล้องกับการประกาศภาวะสงครามแต่อย่างใด พร้อมทั้งกล่าวถึงการส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดเทคโนโลยีสเตลธ์ หรือเทคโนโลยีหลบหลีกเรด้าร์ รวมทั้งส่งเครื่องสเตลธ์ F-22 แรพเตอร์ ขึ้นบินเหนือน่านฟ้าเกาหลีใต้ ว่าเพื่อแสดงความจริงจังของสหรัฐฯให้เกาหลีเหนือเห็นเป็นการสร้างความเชื่อมั่น และพันธมิตรกับเกาหลีใต้ ซึ่งช่วยลดความกดดันที่อาจผลักให้เกาหลีใต้กระทำการฝ่ายเดียว 

 

แม้จะยังไม่มีความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในฝั่งเกาหลีเหนือ แต่สหรัฐฯเตรียมความพร้อมรับความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี ด้วยการนำระบบทำลายขีปนาวุธพิสัยไกลทางทะเล ประจำการนอกคาบสมุทรเกาหลี รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการป้องกันฝั่งตะวันตกของประเทศ จากการโจมตีของเกาหลีเหนือตามคำขู่

 

ด้านสถานีโทรทัศน์ของทางการเกาหลีเหนือ เผยแพร่ภาพนายคิม จอง อุน ผู้นำเกาหลีเหนือพร้อมคณะผู้บริหารพรรคแรงงาน เข้าคารวะสุสานของนายคิม อิล ซุง ผู้เป็นปู่ และนายคิม จอง อิล ผู้เป็นบิดา ณ อนุสรณ์สถานคัมซูซัน โดยเป็นภาพที่บันทึกไว้เมื่อวันอาทิตย์(31มี.ค2556) ก่อนที่เขาจะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมาธิการกลาง พรรคแรงงาน ที่มีการวางยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อสร้างเศรษฐกิจชาติให้เข้มแข็ง และการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งมีการรับรองแผนในการประชุมสภาประชาชนไปเมื่อวานนี้(1เม.ย2556) รวมทั้งแต่งตั้งนายคิม กยอง ซิก รัฐมนตรีกลาโหม ที่เชื่อว่าอยู่เบื้องหลังการโจมตีเกาหลีใต้ในปี 2553 ขึ้นเป็นประธานกรรมาธิการป้องกันประเทศ 

 

นอกจากนี้โทรทัศน์เกาหลีเหนือยังเผยแพร่ภาพทีมนักกีฬาของกองทัพ เข้าร่วมฝึกซ้อมทางทหาร โดยระบุว่าเป็นการเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมในการต่อสู้

นักวิเคราะห์มองว่าเกาหลีเหนือไม่น่าจะเปิดฉากการโจมตีครั้งใหญ่ ซึ่งคำข่มขู่ของเกาหลีเหนือ น่าจะเป็นความพยายามกระตุ้นให้เกาหลีใต้ เร่งปรับเปลี่ยนนโยบายที่ผ่อนปรนต่อเกาหลีเหนือ และเพื่อให้มีการพูดคุยทางการทูต เพื่อสร้างเสริมภาพลักษณ์ของนายคิม จอง อุน ผู้นำวัยหนุ่มของเกาหลีเหนือ อย่างไรก็ตามยังมีความกังวลว่า หากเกิดการกระทบกระทั่งกันจริง อาจทำให้สถานการณ์บานปลายได้