รัฐวอนพ่อค้าคนกลาง-เกษตรกรเห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ส่งผลไม้อ่อนทำภาพลักษณ์ประเทศเสีย
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หนุนยกระดับสินค้าคุณภาพไทยตีตลาดโลก ชี้ไทยพร้อมดำเนินนโยบายการตลาดเป็นธรรม-เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นางศรีรัตน์ รัฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงสินค้าผัก ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้งของไทยว่า ปี2556 กรมฯตั้งเป้าหมายการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 10% คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,561 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (45,200 ล้านบาท)โดยการส่งออก 2 เดือนแรก(ม.ค.-ก.พ. 2556)ของปีนี้ มีปริมาณ 258,573 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 186 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ( 5,386 ล้านบาท)หรือ เพิ่มขึ้น 20 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นสัดส่วน 0.5% ของมูลค่าการส่งออกรวมของไทย
ทั้งนี้แยกเป็นรายสินค้าพบว่า สินค้าผักสด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง มีมูลค่าการส่งออกลดลง 17% คิดเป็นมูลค่า 38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(1,127 ล้านบาท) ปริมาณ 32,166 ตัน ในส่วนสินค้าผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น 36 % โดยมีมูลค่ากว่า 148 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (4,459 ล้านบาท) ปริมาณ 226,407 ตัน ตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ จีน ฮ่องกง เวียดนาม ญี่ปุ่น และ สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วนรวมกว่า 78 % โดยตลาดอื่นที่มีอัตราการขยายตัวสูง ได้แก่ ออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 65% ปากีสถาน 130% เนเธอร์แลนด์ 138% เป็นต้น
“ผลผลิตผักผลไม้ของไทยมีความหลากหลายและต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทำให้มีความได้เปรียบด้านประเภทสินค้า และมีความยืดหยุ่นด้านปริมาณการส่งออก จึงทำให้ผลไม้ของไทยเป็นที่นิยมและได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในต่างประเทศ”นางศรีรัตน์ กล่าว
กรณีการส่งออกทุเรียนอ่อนด้วยกลโกงของพ่อค้าคนกลางและเกษตรกรบางกลุ่ม เพื่อสร้างข่าวทุเรียนอ่อน หวังกดราคารับซื้อในภายหลังตามที่เป็นข่าวนั้น ถือเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของสินค้าไทย จึงขอความร่วมมือเกษตรกร อย่าแอบตัดทุเรียนที่ยังแก่ไม่เต็มที่ออกสู่ตลาด เพื่อหวังได้ราคาจากการจำหน่ายช่วงต้นฤดูกาล เนื่องจากประเทศไทยกำลังจะก้าวสู่ประชาคมอาเซียน(เออีซี) จึงควรร่วมมือกัน เพื่อยกระดับสินค้าให้เข้าสู่มาตรฐานสากล ดำเนินนโยบายการตลาดที่เป็นธรรมและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยในฐานะประเทศผู้ผลิตสินค้าคุณภาพสูง
สำหรับการส่งออกทุเรียนสด แช่เย็นในปี 2555 มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 รองจากลำไย คิดเป็นมูลค่า 201 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 29% เฉพาะ 2 เดือนแรกของปีนี้ ไทยส่งออกไปแล้ว 21 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ เพิ่มขึ้น 246% และคาดว่าช่วงมี.ค.-เม.ย.2556 จะมีปริมาณการผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ การเพิ่มศักยภาพทางการค้าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อลดปัญหาและอุปสรรคต่างๆ อาทิ สภาพความแปรปรวนของอากาศ ระบบขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ ความเข้มงวดในกฎระเบียบให้มีการตรวจเข้มสินค้าผักไทยของตลาด เพื่อตรวจยาฆ่าแมลงตกค้าง การปนเปื้อนทางจุลชีววิทยา และแมลงศัตรูพืช พื้นที่เพาะปลูกมีขนาดเล็ก ทำให้ต้นทุนการจัดการและควบคุมคุณภาพการผลิตมีราคาสูงกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย
นางศรีรัตน์ กล่าวว่า กรมฯจะร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนให้มีการพัฒนาระบบการผลิตให้ได้มาตรฐาน ส่งเสริมให้มีการสร้างแบรนด์ของผลไม้ไทย โดยเน้นเรื่องเอกลักษณ์ด้าน คุณค่าและสายพันธุ์ ที่โดดเด่นของผลไม้ไทย ส่งเสริมการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้สามารถยืดอายุของผลผลิต และเหมาะสมกับตลาดเพื่อการส่งออก และประงานงานกับหน่วยงานของรัฐควบคุมกำกับดูแลการเพาะปลูกให้ได้ปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของตลาด