เครือข่ายผู้ป่วยซีแอล จับมือสหภาพฯเตรียมฟ้อง รมว.สธ. ให้ข่าวทำลายองค์การเภสัชฯ
จี้ประดิษฐ์ หยุดให้ข่าวทำลายองค์การเภสัช แนะปล่อยให้กระบวนการหาข้อเท็จจริงเรื่องโรงงานวัคซีนและยาพาราเซทตามอล เครือข่ายผู้ติดฯ จับมือ สหภาพองค์การเภสัชกรรม ชี้การเมืองมีเป้าหมายแอบแฝงต้องการทำลายหน่วยงานรัฐ ไม่ให้ทำซีแอลยา เตรียมบุกสธ. 24 เมย. นี้
นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีแห่งประเทศไทย และนางสายชล ศรทัตต์ ผู้แทนเครือข่ายผู้ป่วยมะเร็ง เปิดเผยว่าที่ผ่านมาผู้ป่วยโรคร้ายแรงต้องทนทุกข์กับการขาดโอกาสเข้าถึงยารักษาที่มีราคาแพงเพราะบริษัทยาข้ามชาติผูกขาดตั้งราคาไว้สูง โดยอ้างสิทฺธิบัตรยาแต่กระทรวงสาธารณสุขในสมัย นพ.มงคล ณ สงขลา เป็นรัฐมนตรีได้ประกาศนโยบายใช้สิทธิโดยรัฐหรือที่เรียกว่าซีแอล และมอบให้องค์การเภสัชกรรมซึ่งเป็นวิสาหกิจของรัฐเป็นหัวหอกจัดหายาที่มีคุณภาพเหมือนกันแต่ราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาใช้แทน ทำให้บริษัทยาข้ามชาติต่างๆ ต้องยอมเจรจาลดราคายาลงหลายเท่าตัว และบีบให้บริษัทยาข้ามชาต่าโยบายใช้สิทธิโดยรัฐหรือที่เรียกว่สซีแอลให้องค์การเภสัชกรรมเ ถือเอาประเทศไทยเป็นตัวอย่างประกาศนโยบายซีแอลตาม สร้างความไม่พอใจให้กับประเทศมหาอำนาจเจ้าของบริษัทยาข้ามชาติเป็นอย่างมาก และใช้ทุกวิธีการกดดันรัฐบาลไทยให้ยกเลิกมาตรการใช้ซีแอลมาโดยตลอด
นายอภิวัฒน์ กล่าวว่า จนถึงรัฐบาลปัจจุบันที่มี นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ เป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มีนโยบายรวมอำนาจหน่วยงานสาธารณสุขต่างๆ ด้วยการส่งนักการเมือง นักธุรกิจเอกชน เข้ายึดครองบอร์ดและทำการแยกสลายสร้างความแตกแยก อ่อนแอให้กับระบบสาธารณสุข แต่งตั้งคนของตัวเองเข้าเป็นบอร์ดองค์การเภสัชกรรม เข้าควบคุมรัฐวิสาหกิจยาของรัฐที่มียอดขายปีละกว่าหนึ่งหมื่นสองพันล้านบาท และทำลายภาพพจน์เชิงธุรกิจขององค์การเภสัชกรรม ด้วยการเอากรณีการก่อสร้างโรงงานวัคซีนล่าช้าและข่าวการปนเปื้อนของสารตั้งต้นผลิตยาพาราเซทตามอลเป็นประเด็นสร้างกระแสข่าวทำลายความน่าเชื่อถือขององค์การเภสัชกรรม จนสหภาพองค์การเภสัชกรรม ทนไม่ได้ต้องออกแถลงการณ์เรียกร้องให้เอาผิดกับ รมว.สาธารณสุขในข้อหาทำร้ายองค์การเภสัชกรรม เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัทยาข้ามชาติเข้ายึดตลาดยาราคาแพงของไทย และส่งสัญญาณให้กับประเทศมหาอำนาจว่าต่อไปนี้จะไม่มีหน่วยงานไหนของรัฐทำเรื่องซีแอล อีกแล้ว
ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อแอชไอวี และเครือข่ายผู้ป่วยมะเร็ง กล่าวต่อว่า พฤติกรรมให้ข่าวทำลายองค์การเภสัชรายวันของรมว.สาธารณสุข ทำให้ผู้ป่วยที่เคยได้รับประโยชน์จากระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและนโยบายซีแอลของรัฐบาลที่ผ่านมา เห็นว่าฝ่ายการเมืองมีเป้าหมายทับซ้อนต้องการทำให้องค์การเภสัชกรรมของไทยอ่อนแอลงจนไม่สามารถเป็นเครื่องมือของรัฐในการทำซีแอล และต่อรองราคายากับบริษัทยาข้ามชาติ “การที่ รมว.สาธารณสุขออกมามาปั่นข่าวทำลายองค์การเภสัชกรรมรายวันที่ตัวเองมีหน้าที่ต้องดูแลสนับสนุนเพื่อเพิ่มมูลค่าความน่าเชื่อถือให้สามารถแข่งขันกับบริษัทยาข้ามชาติได้ แต่กลับทำตรงข้าม ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริงของเรื่องที่เป็นข่าวกำลังอยู่ในกระบวนการสอบสวนและเป็นหน้าที่ของบอร์ดองค์การเภสัชกรรม ที่ตัวเองเป็นผู้แต่งตั้ง การทำเช่นนี้เป็นเรื่องที่ผู้บริหารโดยทั่วไปไม่ทำกัน
อีกทั้ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้ทำหนังสือด้วยตัวเองถึงองค์การอนามัยโลกถามถึงเรื่องการบริหารภายในขององค์การเภสัชกรรมในลักษณะตั้งข้อสงสัยถึงความโปร่งใสที่ผ่านมามา ทั้งๆที่สามารถเรียกหาข้อมูลจากบอร์ดหรือให้บอร์ดเป็นผู้หาข้อมูลตามหน้าที่ได้อยู่แล้ว ทำให้น่าเชื่อว่าเพื่อต้องการบอกองค์การอนามัยโลกและทำให้เป็นข่าวไปทั่วโลกว่ารัฐบาลนี้ไม่สนับสนุนองค์การเภสัชกรรมให้ทำซีแอลอีกต่อไป และการเจรจาการค้ากับประเทศมหาอำนาจ จะไม่มีหน่วยงานของรัฐที่เป็นอุปสรรคอีกแล้ว ถือเป็นใช้อำนาจหน้าที่ทำร้ายประชาชน ทำร้ายประเทศชาติ
ประธานเครือข่ายผู้ป่วยเอชไอวี กล่าวต่อว่า เพื่อให้ รมว.สาธารณสุข ทำบทบาทหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง ยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก เครือข่ายผู้ป่วยเอดส์ มะเร็ง หัวใจ ไตวายและอื่นๆ จะจับมือกับสหภาพองค์การเภสัชกรรมไปกระทรวงสาธารณสุขในวันที่ 24 เมย.นี้เพื่อบอกให้นพ.ประดิษฐ์ สินธวณรงค์ ทบทวนตัวเองให้เป็น รมว.สาธารณสุขที่ดีของประเทศไทย ไม่ใช่เป็น รมว.สาธารณสุขของบริษัทยาข้ามชาติหรือของธุรกิจการเมืองที่สังคมกำลังตั้งประเด็นสงสัยอยู่ในขณะนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า วันที่ 24 เมย. ทางชมรมแพทย์ชนบท ชมรมทันตภูธร เภสัชกร และพยาบาลจะบุกกระทรวงสาธารณสุขและสำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินให้ตรวจสอบการทุจริตเชิงนโยบายทำร้ายระบบสาธารณสุขของรัฐ เอื้อประโยชน์ธุรกิจเอกชน ขณะที่ชมรมทันตสาธารณสุขภูธรและเครือข่ายทันตแพทย์ รพ.ชุมชน ออกจดหมายเปิดผนึกเมื่อวันที่ 17 เมย.ที่ผ่านมา ชี้นายกทันตแพทยสภาออฟไซด์ เอาสภาวิชาชีพไปสนับสนุนนโยบายนักการเมือง ขยายความขัดแย้งในระบบบริการสาธารณสุขของพื้นที่ โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากสมาชิก