การตลาดในยุค 3.0 และการปรับตัวของบริษัทไทย
โดย รุ่งนภา เสถียรนุกูล ทีมงานจัดการกองทุนบัวหลวง
ตลาดหุ้นในช่วงที่ผ่านมามีความผันผวนและแกว่งตัวค่อนข้างมาก ทำให้จิตใจของนักลงทุนส่วนใหญ่แกว่งไปตามตลาด แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนควรจะต้องตระหนักสำหรับการลงทุนคือการพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของหลักทรัพย์ตัวนั้น โดยพิจารณาถึงความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ความสามารถในการทำกำไร รวมถึงแนวโน้มในการเติบโตของบริษัท ซึ่งกลยุทธ์การตลาดของแต่ละบริษัทก็เป็นส่วนหนึ่งที่นักลงทุนควรจะนำไปใช้ประกอบในการวิเคราะห์เกี่ยวกับปัจจัยเชิงคุณภาพของบริษัทนั้น นักลงทุนจึงควรดูว่าแผนทางการตลาดของบริษัทมีความเหมาะสมและสอดคล้องกับตลาดในปัจจุบันและในอนาคตหรือไม่
โกดัก (Kodak) และ ฟูจิ (Fuji) เป็นกรณีศึกษาที่มีความน่าสนใจ โดยทั้งสองบริษัทมีจุดเริ่มต้นมาจากธุรกิจฟิล์มเหมือนกัน แต่เมื่อตลาดมีการเปลี่ยนแปลง เทคโนโลยีพัฒนามากขึ้น ก่อให้เกิดสินค้าอื่นๆ ขึ้นมาทดแทนการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม จึงเกิดการเติบโตอย่างรวดเร็วของอุตสาหกรรมกล้องดิจิตอลและสมาร์ทโฟน
เริ่มแรกนั้นโกดัก เห็น เทรนด์การเปลี่ยนแปลงของตลาด และเป็นผู้ริเริ่มผลิตกล้องดิจิตอลออกมาหลายรุ่นหลายแบบ แต่ปัญหาก็คือกำไรและรายได้หลักของ โกดัก ขึ้นอยู่กับธุรกิจฟิล์ม ไม่ว่าจะเป็นการล้างฟิล์ม อัดภาพ หรือการขายฟิล์มก็ตาม ซึ่งทำให้ผู้บริหารโกดัก ประเมินกำลังตลาดดิจิตอลต่ำเกินไป และยังกลัวว่าตลาดดิจิตอลจะมากินตลาดธุรกิจฟิล์มอีกด้วย จึงไม่ได้ทำการตลาดและไม่ได้มุ่งพัฒนาธุรกิจดิจิตอลเท่าที่ควร
ตรงกันข้ามกับผู้บริหารของฟูจิ ที่เห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ และมี Sense of Urgency ที่เร็วกว่าผู้บริหารโกดัก บริษัท ฟูจิ จึงเร่งพัฒนาและวิจัยอุตสาหกรรมดิจิตอล รวมถึง Diversify ธุรกิจออกไปนอกธุรกิจฟิล์ม และเนื่องจากฟูจิ มีความเชี่ยวชาญด้านสารเคมี จึงได้นำความรู้นี้ไปประยุกต์กับธุรกิจเครื่องสำอาง รวมถึงขยายไปสู่ธุรกิจฟิล์มเคลือบหน้าจอ LCD และธุรกิจเกี่ยวกับอุปกรณ์การถ่ายภาพทางการแพทย์อีกด้วย
บทเรียนที่แสนแพงในการปรับตัวช้าของโกดัก ทำให้ตลาดดิจิตอลกินเนื้อธุรกิจฟิล์ม จนโกดัก ต้องล้มละลายไปในที่สุด ขณะที่ฟูจิยังคงอยู่
บทสรุปจากข้างต้นก็คือ บริษัทที่มีวิสัยทัศน์และสามารถปรับกลยุทธ์ไปทำการตลาดได้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และสนองตอบสภาวะสำคัญกับวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงได้เร็ว จะยังคงอยู่ในตลาดต่อไปได้