การประชุมร่วมกันระหว่างกระทรวงการคลัง คณะกรรมการนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. และภาคเอกชน 3 สถาบัน นานกว่า 3 ชั่วโมง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยภายว่า ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลใน 4 เรื่องคือ 1.การใช้จ่ายภาครัฐอย่างมีประสิทธิภาพ 2.การสร้างบรรยากาศการลงทุนให้เกิดการลงทุนใหม่ หรือขยายการลงทุนเดิม 3. ทิศทางและกำลังซื้อของผู้บริโภค 4. สถานการณ์การส่งออกและการท่องเที่ยว
เบื้องต้น ที่ประชุมเห็นตรงกันว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ (56 )ยังเติบโตได้ดี แม้ในปี 2555 เศรษฐกิจจะเผชิญความยากลำบาก จากการเพิ่งเริ่มฟื้นตัวจากปัญหาอุทกภัยใหญ่ในปลายปี 2554 รวมทั้งปัญหาการเบิกจ่ายงบประมาณที่ล่าช้า ส่วนการส่งออกในปีนี้ (56) เห็นว่าทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชนควรทำงานร่วมกัน นอกเหนือจากเรื่องการดูแลปัญหาอัตราแลกเปลี่ยน
ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่า เห็นว่า เงินบาทที่แข็งค่าเกินไป และมีความผันผวน จะทำให้การส่งออกขยายตัวลำบาก ทุกภาคส่วนควรดูแลและทำงานร่วมกัน ให้เงินบาทเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพ ไม่มีความผันผวนเมื่อเทียบกับสกุลเงินของทั้งประเทศคู่ค้าและประเทศคู่แข่ง เพื่อให้การส่งออกเติบโตได้ตามเป้าหมาย ซึ่งค่าเงินที่สามารถแข่งขันได้นั้น จึงไม่ควรเทียบเฉพาะสกุลดอลลาร์เท่านั้น แต่ต้องเทียบกับทั้งสกุลเงินของประเทศคู่ค้าและประเทศคู่แข่ง
นายกิตติรัตน์ ระบุด้วยว่า สำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะดูแลการไหลเข้าออกของเงินทุน ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายเรื่องที่ได้หารือกัน แต่โดยภาพรวมทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องว่า เศรษฐกิจไทยยังเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ และต้องทำให้การส่งออกเติบโตได้ตามเป้าหมาย ดังนั้น จึงต้องมีอัตราแลกเปลี่ยนในระดับเหมาะสม
ส่วนภาคเอกชนไม่ได้คาดหวังถึงการเข้าไปควบคุมเงินทุนไหลเข้าออก แต่ต้องการให้หน่วยงานที่กำกับดูแล ช่วยพิจารณาแนวทางการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนอย่างเหมาะสม รวมถึงต้องการให้ กนง.และ ธปท.ต้องสามารถสื่อสารระหว่างกัน และขอฝากให้มีการพิจารณาให้มากขึ้น เกี่ยวกับมาตรการที่จะนำมาใช้ในการดูแลค่าเงินบาทอย่างรอบคอบระมัดระวัง เชื่อว่าจะสามารถดูแลอัตราแลกเปลี่ยนได้อย่างมีเสถียรภาพ