มีผล 1 ปี โดยจะทบทวนมติคว่ำบาตรหรือไม่อย่างต่อเนื่อง จับตาดูผู้นำพม่า ทำตามข้อตกลงหรือไม่
นายทิฆัมพร นาทวรทัต รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2556 ที่ประชุมคณะมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรป (Foreign Affairs Council) ได้มีมติที่ 2013/184/CFSP ยกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทุกประเภทต่อประเทศเมียนมาร์ ได้แก่ การค้า การอายัดทรัพย์สิน และการห้ามบุคคลในรัฐบาล ทหาร และครอบครัวตามรายชื่อที่กำหนดเดินทางเข้า/ผ่านอียู เป็นต้น โดยที่ไม่ครอบคลุมถึงการขาย จัดหา ขนส่ง ส่งออก หรือการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับอาวุธและวัสดุอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องทุกประเภท รวมทั้งเครื่องมือที่ใช้สำหรับการปราบปราบภายใน (Internal Repression) เว้นแต่เป็นการดำเนินการเพื่อมนุษยธรรม หรือการคุ้มครอง หรือเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินโครงการภายใต้สหประชาชาติ (UN) และอียู โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2556 ถึง 30 เมษายน 2557 ซึ่งอียู จะมีการทบทวนมตินี้อย่างสม่ำเสมอ โดยอาจจะขยายระยะเวลาการยกเลิกมาตรการออกไปอีก อย่างไรก็ดี หากอียู เห็นว่าประเทศเมียนมาร์ไม่มีการดำเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการออกมตินี้ อาจมีการแก้ไขมติดังกล่าวให้เป็นไปตามที่เห็นสมควร
นายทิฆัมพร กล่าวว่า เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2556 คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของรัฐสภายุโรปได้มีมติสนับสนุนการคืนสิทธิพิเศษทางการค้า (Generalized System of Preferences : GSP) แก่ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งคาดว่ารัฐสภายุโรปจะให้ความเห็นชอบในเร็ว ๆ นี้ และในอนาคต EU จะมีการพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดทำความตกลงทวิภาคีว่าด้วยการลงทุนกับเมียนมาร์ ดังนั้น การที่เมียนมาร์ได้รับการยกเลิกการคว่ำบาตรและคืนสิทธิพิเศษจีเอสพี อาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบการไทยในการย้ายฐานการผลิตไปเมียนมาร์เพื่อส่งออกไป EU เนื่องจากจะได้เปรียบในการลดต้นทุนค่าแรงและได้รับสิทธิลดหย่อนทางภาษีนำเข้า สำหรับข้อเสนอการจัดทำความตกลงด้านการลงทุนในเมียนมาร์ของ EU นั้น แสดงให้เห็นว่าอียู มีความสนใจที่จะเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและแรงงานราคาต่ำในเมียนมาร์ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณที่ EU มีความน่าจะเป็นในการย้ายการลงทุนจากภูมิภาคอื่นๆ รวมทั้งไทยไปเมียนมาร์ โดยตั้งแต่ปี 2551 ถึง 2555 เมียนมาร์ส่งออกสินค้าเป็นมูลค่า 836 ล้านยูโรไปอียู โดยสินค้าส่งออกหลัก คือ เสื้อผ้าและสินค้าเกษตรกรรม โดยในปี 2555 เมียนมาร์ถือเป็นคู่ค้าลำดับที่ 137 ของอียู ขณะที่ไทยอยู่ลำดับที่ 25