ลำดับเหตุการณ์ จาก
จนถึงขณะนี้ สถานการณ์คราบน้ำมันดิบที่เกิดจากการรั่วบริเวณทุ่นรับน้ำมันของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมีคอล และถูกพัดเข้าฝั่งบริเวณอ่าวพร้าว ของเกาะเสม็ด แม้จะยังไม่สามารถเก็บกู้ได้ทั้งหมด แต่เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น
ย้อนเหตุการณ์ไปเช้าของวันที่ 27 กรกฎาคม ห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุดจ.ระยอง ออกไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร เกิดเหตุท่อรับน้ำมันดิบ ขนาด 16 นิ้ว ของ บริษัท พีทีที.โกลบอลเคมิคอลซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ปตท. รั่วบริเวณทุ่นรับน้ำมัน ส่งผลให้น้ำมันดิบ 50 ตัน รั่วไหลลงทะเล
หลังเกิดเหตุทัพเรือภาคที่ 1 สนับสนุนเครื่องบิน ลาดตระเวนดูทิศทางคราบน้ำมัน ขณะที่ เจ้าหน้าที่ปตท.ใช้สารเคมีพ่นใส่คราบน้ำมัน แทนการวางทุ่นท่ามกลางสภาพอากาศมืดครึ้มและคลื่นลมแรง
36 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ เครื่องบินC-130 ของบริษัทออยล์ สปิล เรสปอนส์ บินขึ้นจากสนามบินอู่ตะเภาเพื่อฉีดพ่นน้ำยาสลายคราบน้ำมัน พร้อมวางทุ่นดักน้ำมัน ห่างจากชายฝั่งเกาะเสม็ด 1 กิโลเมตร ป้องกันคราบน้ำมันหลุดรอดเข้าไปใกล้ชายฝั่ง
เช้าวันที่ 29 กรกฎาคม ย่างเข้าสู่วันที่สาม น้ำมันที่รั่วไหลลงทะเล ถูกพัดขึ้นชายหาดอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด เปลี่ยนหาดทรายกลายเป็นสีดำ ระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง ต้องประกาศให้เป็นพื้นที่ภัยพิบัติทางทะเล ขณะที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ทหาร เจ้าหน้าที่บริษัทพีทีที.โกลบอลเคมิคอล และ อาสาสมัคร รวมกว่า 500 คน ต่างระดมกำลังเร่งกำจัดคราบน้ำมัน
ก่อนจะเสริมเครื่องจักรกลหนักและอุปกรณ์ เข้าปฏิบัติการในพื้นที่อ่าวพร้าว ในวันถัดมา เพื่อเร่งกำจัดคราบน้ำมัน โดยยืนยันคราบน้ำมันอยู่ในวงจำกัด ท่ามกลางความกังวลถึงปัญหาสารเคมีตกค้าง ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สั่งทุกหน่วยงานเร่งดูแลผลกระทบเหตุน้ำมันรั่วไหล ยืนยันรัฐบาลให้การดูแลและเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างเต็มที่
แม้ล่าสุดสถานการณ์จะคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น แต่ยังคงต้องจับตาผลกระทบในระยะยาว โดยเฉพาะสารอินทรีย์และโลหะบางชนิดที่อาจสะสมในสิ่งมีชีวิต ซึ่งมีโอกาสที่จะถ่ายทอดตามห่วงโซ่อาหารในทะเลสู่ผู้บริโภคได้