กลุ่มภราดรภาพมุสลิม ในอียิปต์ ประกาศยุติการชุมนุมใหญ่ แต่ยืนยันประท้วงรายวัน
การปะทะนองเลือดที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม เมื่อกลุ่มภราดรภาพมุสลิมของอดีตประธานาธิบดีโมฮัมเหม็ด มูร์ซี จัดชุมนุมใหญ่ ท้าทายประกาศภาวะฉุกเฉินและมาตรการเคอร์ฟิวของรัฐบาลรักษาการโดยเรียกว่าเป็นวันแห่งความโกรธแค้น ทำให้รัฐบาลใช้กำลังสลายค่ายผู้ประท้วง 2 แห่งในกรุงไคโรเมื่อวันพุธที่ผ่านมา และมีผู้เสียชีวิตถึง 638 คน และได้รับบาดเจ็บอีกนับพันคน
การปะทะกันเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม เกิดขึ้นทั้งในกรุงไคโร และหลายเมืองใหญ่ทั่วประเทศ รวมทั้วเมืองอเล็กซานเดรีย ซึ่งเป็นเมืองใหญ่สุดอันดับ 2 และเมืองซูเอซ
สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า การปะทะกันที่เกิดขึ้น ทำให้มีผู้เสียชีวิตไปอีก 83 คน แต่พรรคเสรีภาพและความยุติธรรม ซึ่งเป็นปีกการเมืองของกลุ่มภราดรภาพมุสลิมเปิดเผยว่า เฉพาะในกรุงไคโรมีผู้เสียชีวิตถึง 130 คน สำหรับเหตุปะทะนองเลือดปะทุขึ้นทันทีหลังพิธีละหมาดตอนเช้า ท่ามกลางเสียงปืนจากการยิงปะทะกัน และกลุ่มควันจากการยิงแก็สน้ำตาของเจ้าหน้าที่
ขณะที่ที่มีรายงานว่า ตำรวจได้ปิดล้อมผู้ประท้วง ซึ่งหลบอยู่ในมัสยิดแห่งหนึ่งในย่านรามซิส ของกรุงไคโร และมีการยิงปะทะกันเกิดขึ้น โดยตำรวจ และผู้ประท้วงต่างกล่าวหากันและกันว่า เป็นฝ่ายเปิดฉากยิงก่อน
แต่หลังจากเข้าสู่ช่วงเวลาเคอร์ฟิวหลังพลบค่ำ กลุ่มภราดรภาพมุสลิมได้ประกาศยุติการชุมนุมใหญ่ แต่ยังคงยืนยันว่าจะเดินหน้าจัดการชุมนุมประท้วงรายวันเพื่อต้านการรัฐประหาร ไปจนกว่านายมูร์ซีจะได้กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี
เหตุนองเลือดในอียิปต์ยังส่งผลกระทบต่อราคาน้่ำมันในตลาดโลกพุ่งสูงจากความวิตกว่า การขนส่งน้ำมันในคลองซูเอซอาจหยุดชะงัก และความรุนแรงอาจกลายเป็นชนวนให้เกิดความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลาง
นายมนัสวี ศรีโสดาพล อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงความคืบหน้าถึงการเตรียมการช่วยเหลือคนไทยในอียิปต์ว่า ขณะนี้สถานการณ์อยู่ในระดับ 3 คือ ระดับเตือนภัย โดยสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงไคโร ประสานผ่านสมาคมนักศึกษาไทยในอียิปต์ และแกนนำนักศึกษาไทยในอียิปต์ เพื่อสอบถามความประสงค์ว่า มีคนไทยจะกลับไทยหรือไม่ พร้อมแนะนำผู้ที่ประสงค์จะกลับไทย ให้เดินทางกลับโดยสายการบินพาณิชย์ และขอให้แจ้งสถานเอกอัครราชทูตทราบว่า จะเดินทางกลับ
ทั้งนี้หากสถานการณ์พัฒนาไปถึงระดับที่ 4 คือ ขั้นอพยพ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ก็เตรียมแผนรองรับไว้แล้ว และหากอียิปต์จำเป็นต้องปิดน่านฟ้า ก็ได้เตรียมเส้นทางสำรอง โดยประสานสถานเอกอัครราชทูตไทย และสถานกงสุลใหญ่ในประเทศใกล้เคียง เช่น นครดูไบ ประเทศอาหรับเอมิเรตส์ และกรุงอัมมาน ประเทศจอร์แดน เรียบร้อยแล้ว