ไต่สวน
วันนี้ (6ก.ย.56) เป็นการไต่สวนนัดที่สองของการขอรื้อฟื้นคดี พ่อค้าทองคำ จ.สุราษฏร์ธานี ที่ถูกศาลฏีกาตัดสินจำคุกตลอดชีวิต ในคดีค้าเฮโรอีน เมื่อปี 2546 โดยมีพยานฝ่ายจำเลยขึ้นเบิกความ 3 ปาก
เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์คุมตัวนายสุชาติ ใจสุด ผู้ต้องขังคดีค้ายาเสพติด ที่ศาลฎีกาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต มาฟังการไต่สวนเป็นนัดที่สอง โดยมีพยานขึ้นเบิกความจำนวน 3 ปาก ประกอบด้วย พ.ต.ท.กฤชณัท จันทร์เขียว นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ อดีตพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะขึ้นเบิกความต่อจากวานนี้ (5ก.ย.56) ในประเด็นการสอบสวนปากคำนายโสภณ สุขถาวร และนายเดโช เพ็งทอง ผู้ต้องขังเรือนจำบางขวางที่ให้การซัดทอดนายสุชาติ จนต้องรับโทษ
ต่อมานักโทษทั้งสองให้การกับพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ถึงสาเหตุที่ซัดทอดว่า มาจากการต่อรองผลประโยชน์กับตำรวจแลกกับการปล่อยตัวบุตรสาวออกจากคดี รวมทั้งความแค้นส่วนตัวว่า นายสุชาติให้การสนับสนุนตำรวจสถานีตำรวจภูธรพนมจับกุมลูกน้องของตัวเอง
ด้านนายไพบูลย์ ซำศิริพงษ์ อดีตประธานคณะอนุกรรมาธิการละเมิดสิทธิมนุษยชน และการเมืองภาคพลเมือง จะขึ้นเบิกความในฐานะองค์กรแรกที่ทำการตรวจสอบคดีนี้ โดยส่งเจ้าหน้าที่ลงตรวจสอบที่อำเภอพนม จนได้ข้อมูลว่านายสุชาติไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดและประกอบอาชีพสุจริต ไม่ใช่บุคคลร่ำรวยผิดปกติ
ส่วนสาเหตุการถูกซัดทอดเกิดจากปัญหาความเข้าใจผิด และมีความโกรธแค้นกรณีนายสุชาติ เป็นคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.สภ.พนม) แล้วให้ตำรวจสืบสวนยืมเงินล่อซื้อยาเสพติดในพื้นที่หลายครั้ง จนถึงการจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดของนายโสภณ จะทำให้นายโสภณ โกรธแค้นขู่เอาชีวิต และเคยบอกว่า หากถูกจับกุมจะซัดทอดนายสุชาติว่าอยู่ในขบวนการด้วย
ส่วนพยานปากสุดท้าย คือ อดีตผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรพนม จ.สุราษฏร์ธานี ซึ่งเป็นคนที่ชักชวนนายสุชาติเข้ามาเป็นกรรมการ กต.ตร. ตามขั้นตอนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งยืนยันว่าครอบครัวใจสุดประกอบอาชีพสุจริต ไม่มีพฤติกรรมค้ายาเสพติด