7 พรรคการเมืองปราศรัยใหญ่ทิ้งทวน ก่อนเลือกตั้ง 3 ก.ค.
เริ่มจาก 2 พรรคใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์ เลือกลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นเวทีปราศรัยเพื่อยึดพื้นที่มั่นสุดท้ายกรุงเทพมหานครที่มีคะแนนคนชั้นกลางชาวกรุงเป็นเดิมพัน ซึ่งถ้าพรรคประชาธิปัตย์สูญเสียพื้นที่ กทม.ให้กับพรรคเพื่อไทยนั่นหมายถึงแทบจะปิดโอกาสในการเป็นรัฐบาล
สำหรับลานพระบรมรูปทรงม้าเป็นพื้นที่ที่สนใจเมื่อหากเรามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ซึ่งแต่เดิมนั้นลานพระบรมรูปทรงม้าประชาชนได้มีส่วนร่วมเรี่ยไรเงินในการจัดสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ในแบบตะวันตกที่นิยมสร้างรูปเหมือนของบุคคล เป็นฝีมือการปั้นของ จอร์จ เซาโล และ เงินที่เหลือจากการปั้นถูกนำไปใช้สร้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในสมัยรัชกาลที่ 6 โดยรัชกาลที่ 5 ถูกยกย่องให้เป็น "สมเด็จพระปิยมหาราช" หรือ "พระพุทธเจ้าหลวง"ในกาลต่อมา
สำหรับหัวข้อการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ในเวทีนี้ คือ "อนาคตประเทศไทยใต้ฟ้าเดียวกัน" โดยจะตอกย้ำประเด็น "ไม่นิรโทษกรรม" และ "ไม่ทำเพื่อคนๆ เดียว" ซึ่งไฮไลต์ครั้งนี้อยู่ที่การนำเทคโนโลยีเชื่อมโยงการปราศรัยพร้อมกัน 10 เวทีตามหัวเมืองใหญ่มาช่วย ได้แก่ ภาคเหนือ จังหวัดเชียงใหม่ และ จังหวัดสุโขทัย ภาคอีสานจัดที่จังหวัดอุดรธานี และ จังหวัดอุบลราชธานี ภาคกลางจัดที่จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดระยอง ภาคใต้จัดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จังหวัดนครศรีธรรมราช และในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จะจัดที่สุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส โดยจะเริ่มในเวลา 17.00 น.
ส่วน พรรคเพื่อไทย เวทีปราศรัยครั้งนี้ถือว่ามีความสำคัญเพราะจะต้องรักษาคะแนนนิยมของพรรคให้ได้หลังจากได้นำเสนอนโยบายตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาที่มีความชัดเจน และเริ่ม "ติดตลาด" มากขึ้น โดยได้รับกระแสตอบรับจากการเดินสายไปปราศรัยทั่วประเทศของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ 1
ครั้งนี้พรรคเพื่อไทย เลือกพื้นที่ "สนามราชมังคลากีฬาสถาน" ย่านหัวหมาก ในการปราศรัยใหญ่หัวข้อ "วิสัยทัศน์ประเทศไทยปี 2020" ซึ่งเป็นการเน้นย้ำจุดขายด้านนโยบายและวิสัยทัศน์ของพรรคที่มองไปถึงอนาคตในปี 2020 โดยสนามดังกล่าวสามารถจุคนได้ถึง 80,000 คน โดยสนามแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาส พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษกในปี พ.ศ. 2531และ แล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2541 โดยได้เปิดใช้ในการแข่งกันกีฬาเอเชียนเกมส์ครั้งที่ 13 ที่กรุงเทพ เป็นเจ้าภาพเป็นครั้งแรก
ในเชิงสัญญลักษณ์สนามกีฬาแห่งนี้นอกจากมีความทันสมัย และ มีความพร้อมแล้ว ในเชิงยุทธศาสตร์และจิตวิทยาถือว่า มีความสำคัญ เพราะพรรคเพื่อไทยสามารถประเมินจำนวนผู้สนับสนุนได้ง่ายกว่า หากสนามเต็มความจุย่อมแปลว่า มีผู้ฟังปราศรัยจำนวนหลักหมื่นคน แต่ถ้าล้นออกมายังบริเวณโดยรอบของการกีฬาแห่งประเทศไทย ย่อมแปลว่า มีผู้รับชมอาจถึงหลักแสนคนทีเดียว ที่สำคัญเป็นการเช็กกระแสสนับสนุนจากฐานคะแนนเสียงในกรุงเทพฯและปริมณฑลอีกด้วย เพราะผู้ที่เข้าร่วมส่วนใหญ่คาดว่าจะเดินทางจากจังหวัดที่ไม่ไกลนักเนื่องจากใกล้ถึงวันเลือกตั้งแล้ว
ขณะที่ พรรครักประเทศไทย ที่มามาแรงชูจุดขายเด่นชัดคือการประกาศตน "ขอเป็นฝ่ายค้าน ต้านคอร์รัปชั่น" ที่เป็นที่ถูกอกถูกใจคนคิดแนวขวาง ด้วยแนวคิดที่มีจุดขายอยู่ที่ตัวหัวหน้าพรรค คือ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เขาจึงเลือกปราศรัย ที่สวนชูวิทย์ ปากซอยสุขุมวิท 12 ซึ่งพื้นที่ที่เป็นสวนแห่งนี้เคยโด่งดังเมื่อปี 2546 เมื่อนายชูวิทย์เคยออกมาแฉเรื่องตำรวจเรียกรับ ทำให้เขาเป็นที่รู้จักหลังจากที่ตำรวจพยายามจะดำเนินคดีกับเรื่องของการกล่าวหาว่ามีส่วนอยู่เบื้องหลังในการไล่รื้อบาร์เบียร์ โดยหลังจากนั้นเขาได้ประกาศอุทิศสวนนี้ให้เป็นสวนสาธารณะให้เป็นพื้นที่สีเขียวบนถนนที่ราคาที่ดินแพงให้กับคนมาออกกำลังกาย
โดยการปราศรัยครั้งนี้นายชูวิทย์จะชูประเด็น "ความจริงต้องฟังจากผม" เพื่อประกาศจุดยืนของเขาในการที่เป็นคนมีข้อมูลเชิงลึกและพร้อมจะเข้าไปตรวจสอบทุกฝ่ายในฐานะผู้อาสาเป็นฝ่ายค้าน
ส่วนพรรคอื่น ๆ ที่จัดเวทีปราศรัยใหญ่ในวันนี้ เช่น
พรรคพลังชล เลือกที่ปราศรัยหน้าศาลากลางจังหวัดชลบุรี แหล่งที่มั่นที่สุดของพรรค
พรรคชาติไทยพัฒนา เลือกปราศรัยที่นครปฐมแทนที่จะเป็นจังหวัดสุพรรณบุรี แต่ยังสามารถอนุมานได้ว่า เป็นภาพลักษณ์ของตัวแทนพรรคคนภาคกลาง
พรรคชาติพัฒนาเพื่อแผ่นดิน เลือกปราศรัยใหญ่ที่จังหวัดนครราชสีมา พื้นที่ของ นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ซึ่งสะท้อนภาพความเป็นพรรคท้องถิ่นนิยม และ
พรรคภูมิใจไทย ที่เลือกปราศรัยใหญ่ที่สนามกีฬากลางจังหวัดกาฬสินธุ์แทนที่จะเป็นจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ หรือ ศรีษะเกษ
ขณะที่วันนี้กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะประกาศยุติการชุมนุมในวันนี้เวลา 20.00 น. โดยให้เหตุผลว่า เนื่องจากประเทศไทยได้ถอนตัวจากการเป็นภาคีสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกแล้วตามที่กลุ่มพันธมิตรเรียกร้อง โดยกลุ่มพันธมิตรขอเวลา 5 วันในการเก็บของและเคลื่อนย้ายกลับ ซึ่งก่อนที่จะยุติชุมนุมจะมีการจัดเวทีปราศรัยใหญ่ควบคู่กับการปราศรัยของพรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคเพื่อไทยด้วย