หลายประเทศในเอเชีย เผชิญภัยธรรมชาติรุนแรง
ภาพเหตุการณ์ที่มีผู้บันทึกภาพไว้ได้ ขณะเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 7.1 แม็กนิจูดตามมาตราริคเตอร์ในฟิลิปปินส์เมื่อช่วงสายวานนี้ (15 ต.ค.) โดยจุดศูนย์กลางอยู่ใกล้กับเกาะโบฮอล (Bohol) และเมืองเซบู ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม นอกจากนี้เมืองเซบู ยังเป็นเมืองที่มีความสำคัญที่สุดเป็นอันดับสองของประเทศอีกด้วย ความรุนแรงของแผ่นดินไหวสร้างเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือน รวมทั้งโบสถ์เก่าแก่หลายแห่ง นอกจากนี้ยังทำให้เกิดดินถล่มทับบ้านเรือน ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 93 คน คาดว่าตัวเลขผู้เสียชีวิตจะเพิ่มสูงขึ้นอีก เพราะหน่วยกู้ภัยยังเข้าไปไม่ถึงจุดที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดบนเกาะโบฮอล เนื่องจากถนนได้รับความเสียหายจนไม่สามารถใช้การได้ ขณะที่การสื่อสารยังคงถูกตัดขาด
ทางการต้องประกาศภาวะพิบัติในพื้นที่ ที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว โดยเมืองเซบูเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และการศึกษาในพื้นที่ทางตอนกลางของฟิลิปปินส์ มีประชากรประมาณ 2.5 ล้าน และอยู่ห่างจากกรุงมะนิลาไปทางเหนือประมาณ 600 กิโลเมตร
ส่วนเวียดนามก็ต้องเผชิญกับพายุไต้ฝุ่นนารี ที่พัดถล่มพื้นที่ตอนกลางของประเทศ รวมทั้งเมืองเว้ ซึ่งเป็นเมืองมรดกโลกและเมืองดานัง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม โดยพายุมีความเร็วลมถึง 133 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง โรงเรียนในเมืองดานังต้องปิดการเรียนการสอน นักท่องเที่ยวกว่าพันคนต้องติดค้างอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากพายุ นับเป็นพายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุดในรอบ 7 ปีที่พัดถล่มเวียดนาม โดยความรุนแรงของพายุทิ้งร่องรอยความเสียหายในเมืองเว้และเมืองดานังราวกับเกิดสงคราม
ขณะที่ ญี่ปุ่นก็ต้องเตรียมรับมือพายุไต้ฝุ่นวิภา (Wipha) ที่กำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้และอาจสร้างความเสียหายอย่างหนัก เพราะคาดว่าจะเป็นพายุไต้ฝุ่นที่รุนแรงที่สุดในรอบ 10 ปีที่พัดถล่มญี่ปุ่น คาดว่าพายุไต้ฝุ่นวิภา ซึ่งมีความเร็วลมสูงสุดใกล้จุดศูนย์กลางเกือบ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอาจพัดขึ้นฝั่งในเขตคันโตะ (Kanto) ซึ่งเป็นเขตที่มีประชากรหนาแน่นและเป็นที่ตั้งของกรุงโตเกียว ในช่วงเช้าวันนี้ (16 ต.ค.) และอาจเคลื่อนตัวมุ่งหน้าไปยังโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูกุชิมะที่ยังคงเกิดปัญหาการรั่วไหลของน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสี