นายราฟาเอล รามิเรซ ทูตเวเนซูเอล่า ประจำคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ แถลงว่าที่ประชุมมีมติให้ประณามเกาหลีเหนืออย่างรุนแรงจากการยิงจรวดในครั้งนี้ที่ใช้เทคโนโลยีขีปนาวุธ แม้ว่าจะเป็นการปล่อยดาวเทียวก็ตาม แต่ก็ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อมติของคณะมนตรีความมั่นคงและย้ำให้เห็นว่าเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามอย่างชัดเจนต่อสันติภาพและความมั่นคงของนานาชาติ ซึ่งภัยคุกคามนี้ยังคงมีอยู่โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทดสอบนิวเคลียร์
ในขณะที่นางซาแมนธา พาวเวอร์ ทูตสหรัฐอเมริกาประจำองค์การสหประชาชาติ เรียกร้องให้เพิ่มการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรกับเกาหลีเหนือ เพราะการพัฒนาโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือไม่เพียงแต่เป็นภัยคุกคามกับประเทศเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่ยังคุมคามสันติภาพและความมั่นคงของโลกด้วย
ส่วนนายโอ จูน ทูตเกาหลีใต้ประจำสหประชาชาติ ระบุว่า หนทางเดียวที่จะยับยั้งเกาหลีเหนือจากการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ คือต้องทำให้เห็นชัดเจนว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือจะต้องเปลี่ยนแปลง โดยมองว่าการเพิ่มบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตรไม่น่าจะได้ผล แต่ควรจะมีการมาตรการที่ชัดเจนและเด็ดขาดที่จะส่งข้อความถึงเกาหลีเหนือว่าประชาคมโลกจะไม่ยอมอดทนต่อการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์
ทั้งนี้ เกาหลีเหนือปล่อยจรวดส่งดาวเทียมกวางเมียงซอง-4 ขึ้นสู่วงโคจรเมื่อวานนี้ (7 ก.พ.2559) โดยสถานีโทรทัศน์เคซีทีวีของรัฐบาลเกาหลีเหนือ ได้เผยแพร่ภาพนายคิม จอง อึน ผู้นำสูงสุด ซึ่งเข้าร่วมชมการปล่อยจรวดในครั้งนี้ด้วย โดยหลังจากที่ปล่อยจรวจได้ไม่นาน น.ส.ปาร์ค กึน เฮ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ เรียกประชุมฉุกเฉินเจ้าหน้าที่ความมั่นคงแห่งชาติ พร้อมออกมาประณามการกระทำของเกาหลีเหนือในครั้งนี้ว่าเป็นการยั่วยุและท้าทายประชาคมโลกที่ต่างคัดค้านแผนการปล่อยดาวเทียมและการทดลองนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ