วันนี้ (23 มี.ค.2559) เป็นวันแรกที่รัฐบาลเปิดให้ประชาชนยื่นกู้บ้านประชารัฐ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีประชาชนเดินทางเข้าติดต่อขอสินเชื่อจากธนาคารออมสิน และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อย่างต่อเนื่อง โดยมียอดรับคำขอกู้ทั่วประเทศวันแรก จำนวน 4,300 ราย คิดเป็นวงเงินกว่า 4,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ยขอกู้รายละ 1 ล้านบาท โดยผู้ยื่นคำขอสินเชื่อโครงการบ้านประชารัฐคนแรกของธนาคาร ธอส.สำนักงานใหญ่ บอกว่า ติดตามข่าวโครงการมาตลอด และทันทีที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบก็เตรียมเอกสารเพื่อยื่นขอกู้วันแรกทันที เพราะเกรงว่าวงเงินจะเต็ม
นายฉัตรชัย ศิริไล รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานสินเชื่อ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) คาดว่า วงเงิน 20,000 ล้านบาท อาจหมดภายใน 2 เดือน แต่พร้อมเสนอคณะกรรมการธนาคาร พิจารณาขยายวงเงิน หากได้รับความสนใจจากประชาชน แม้ธนาคารต้องสูญเสียรายได้จากดอกเบี้ยกว่าปีละ 300-400 ล้านบาท สอดคล้องกับนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า แม้ธนาคารจะผ่อนปรนเกณฑ์กำหนดสัดส่วนหนี้สินต่อรายได้สุทธิไม่เกินร้อยละ 50 แต่ไม่ทำให้หนี้เสียธนาคารเพิ่มขึ้น และคาดว่าธนาคารจะปล่อยสินเชื่อโครงการนี้หมดภายใน 2-6 เดือน ก่อนเชิญชวนผู้สนใจเข้าลงทะเบียนจองสิทธิ์หากเอกสารไม่พร้อม เพราะโครงการมีระยะเวลา 2 ปี
ด้านนายสรพงษ์ จักรธีรังกูล นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย ระบุว่า จากการรวบรวมข้อมูลบ้านและห้องชุดในสต็อกของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เป็นบริษัทจดทะเบียน พบว่า บริษัทพฤกษาเรียลเอสเตท ได้ประโยชน์จากโครงการนี้มากที่สุด เพราะมีมูลค่าบ้านและห้องชุดเหลือขายที่เข้าข่ายโครงการ รวมสูงสุด 12,000 ล้านบาท แต่ปริมาณการระบายสต็อกอาจน้อยกว่าบริษัท แอลพีเอ็น ดีเวลลอปเม้นท์ ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 92 จากมูลค่าสต็อกห้องชุดที่เหลืออยู่ทั้งหมด ส่วนผู้ประกอบการรายอื่นๆ ก็จะได้ประโยชน์รองลงไปตามสัดส่วนของสต็อกที่มีอยู่