วันนี้ (12 เม.ย.2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้าถึงค่ำวันนี้มีเจ้าหน้าที่จากหลายหน่วยงานทยอดเดินทางเข้ามาตรวจสอบบริเวณบ้านที่พังและเขื่อนกันน้ำเซาะริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างต่อเนื่อง และมีจุดที่ชาวบ้านกังวลคือการใช้โฟมสำรองก่อนถมทรายในการก่อสร้าง ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของการทรุดตัวของบ้าน และเกิดการพังของเขื่อนกว่า 84 เมตร จากการก่อสร้างทั้งหมดกว่า 400 เมตร หากย้อนไปเมื่อวานนี้มีอยู่1 ครอบครัวที่เกือบเอาชีวิตไม่รอดจากเหตุการณ์นี้ เพราะอาศัยอยู่บนเขื่อน
จามรี อิ่มนุ่น แม่ลูกอ่อนชาว จ.นครสวรรค์ ที่มาทำงานที่ อ.ปากเกร็ด เล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า ขณะที่นอนอยู่ในเต้นท์ที่พักกับลูกวัยเพียง 6 เดือนได้ยินเสียงเขื่อนริมแม่น้ำดังลั่นเป็นจังหวะ ระหว่างนั้นตัดสินใจอุ้มลูกหนีขึ้นมาทันที เกือบเอาชีวิตไม่รอด ทำให้ขนข้าวของไม่ทัน เหลือเพียงของจำเป็นบางชิ้นและเสื้อผ้าเด็กอ่อนเพียง 2 ตัวเท่านั้น
สภาพโฟมที่ลอยเกลื่อน หลังการพังของบ้านและเขื่อนพบว่ามีบางจุดมีโฟมบางส่วนที่ถูกทรายทับอยู่ด้านล่างโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ที่ปรึกษาบริษัทรับเหมาการก่อสร้างอธิบายว่าการทรุดตัวของบ้านเกิดอาจการก่อสร้างเขื่อนที่มีการถมหินและทรายลงไปทับกับโฟมอีกครั้ง และยืนยันการว่าใช้โฟมไม่ใช้การลดงบประมาณการก่อสร้าง ซึ่งกระบวนการก่อสร้างเขื่อนอยู่ในขั้นตอนการฝั่งเสาเข็ม จึงต้องใช้โฟมสำรองแบบธรรมดาที่ไม่ใช่โฟมที่ใช้งานจริง ซึ่งปกติโฟมที่ใช้จริงจะลดน้ำหนักของทรายได้ดีกว่า
สำหรับโฟมที่ใช้ในการก่อสร้างจะมีขนาด 1 ลูกบาศก์เมตร ราคา 2,000 บาท หากเทียบกับการถมทรายจะแพงกว่าการซื้อทราย ดังนั้น จึงอยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบสาเหตุทั้งหมดอีกครั้ง บ้านที่พักเสียหายกว่า 5 หลังขณะนี้กำลังรอข้อสรุปความช่วยเหลือ โดยขณะนี้หลายหน่วยงานกำลังมีการหารือกับบริษัทรับเหมาก่อสร้างเขื่อนกันน้ำเซาะริมแม่น้ำเจ้าพระยา ต้องเป็นผู้รับดูแลบ้านที่เสียหาย ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างอาจจะมีการดำเนินการต่อเนื่อง โดยจะแก้แบบการก่อสร้างใหม่บางส่วน และสร้างต่อจนแล้วเสร็จ