วันนี้ ( 13 พ.ค.2559) เวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย วันศุกร์ที่ 13 พฤษภาคม 2559 ถึงการปฏิรูปการศึกษารัฐบาลซึ่งอยู่ในระยะที่ 1 โดยชู้นโยบาย “ลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้” ทำให้ผู้เรียนสามารถค้นหาความชอบความสนใจของตนเอง ว่าตนสนใจอะไร อยากเป็นอะไร ซึ่งก็ได้รับความสนใจและพอใจของทั้งครูและนักเรียน โดยเฉพาะช่วงนี้เป็นช่วงเวลาใกล้เปิดเทอม จึงอยากให้เด็กและเยาวชนไทย ทุกคนตั้งใจเรียน ตั้งแต่ต้นซึ่งจะได้พัฒนาตนเองไปสู่ความสำเร็จ สมหวัง เป็นไปตามความฝันของแต่ละคน
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่าทุกวันนี้การบิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชนและสถานการณ์นั้นไม่ค่อยปกติมากนัก การเข้าไปเพื่อสืบสวน หาตัวผู้กระทำความผิด หรือ ผู้ถูกกล่าวหา อาจจะต้องใช้กฎหมายพิเศษ โดยยืนยันว่า ไม่ใช่การไปล็อกคอ บังคับ ขู่เข็ญ หรือซ้อมผู้ต้องหาแต่อย่างใดแต่ทำตามกระบวนการ ส่วนการใช้มาตรา 44 ซึ่งมีการนำมาในบางกรณี ไม่ใช่ทุกเรื่อง ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ใช้กำลัง ไม่ใช้อาวุธ ทุกวันนี้มีการโต้ตอบ ซึ่งเห็นได้จากการถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย พร้อมขอให้ผู้ที่กล่าวอ้างระวัง และอย่าทำผิดกฎหมายอีก ที่ผ่านมาผ่อนผันเมตตามาหลายครั้ง
ว่าขณะนี้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งเรื่องสิทธิมนุษยชนและสถานการณ์นั้นไม่ค่อยปกติมากนัก การเข้าไปเพื่อสืบสวน หาตัวผู้กระทำความผิด หรือ ผู้ถูกกล่าวหา อาจจะต้องใช้กฎหมายพิเศษ โดยยืนยันว่า ไม่ใช่การไปล็อกคอ บังคับ ขู่เข็ญ หรือซ้อมผู้ต้องหาแต่อย่างใดแต่ทำตามกระบวนการ ส่วนการใช้มาตรา 44 ซึ่งมีการนำมาในบางกรณี ไม่ใช่ทุกเรื่อง ไม่มีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ไม่ใช้กำลัง ไม่ใช้อาวุธ ทุกวันนี้มีการโต้ตอบ ซึ่งเห็นได้จากการถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ ตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย พร้อมขอให้ผู้ที่กล่าวอ้างระวัง และอย่าทำผิดกฎหมายอีก ที่ผ่านมาผ่อนผันเมตตามาหลายครั้ง
อย่างไรก็ตามขอให้ช่วยกันเคารพกฎหมาย เพราะกฎหมายมีไว้เพื่อให้เกิดความเท่าเทียม และทำให้บ้านเมืองสงบสุข ซึ่งไม่มีกฎหมายใดเขียนเพื่อรังแกคนส่วนการบังคับใช้กฎหมาย ไม่ได้ต้องการบังคับประชาชนให้รัฐธรรมนูญผ่านประชามติดีไม่ดี ประชาชนจะต้องเป็นคนเลือก หวังให้ประชาชนคิดเป็น แล้วตัดสินใจด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องมีการชี้นำอย่างไรก็ตาม ไม่ควรที่จะไปรวมกลุ่มกันมารณรงค์รับไม่รับ เพราะมองว่า ประชามติเป็นสิทธิส่วนบุคคล ซึ่งจะชี้นำไม่ได้ ไม่ว่าใครก็ตามโดยจะต้องระมัดระวังคนที่จะทำให้เกิดความวุ่นวายเกิดขึ้น ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ยังกังวลถึงการใช้ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่ ทั้งตำรวจ คสช. หรือ กกต.
ส่วนการแก้ปัญหาการเกษตรทั้งการจัดระเบียบการใช้น้ำ และให้การช่วยเหลือเยียวยา ทุกอย่างมีความก้าวหน้ามากขึ้น แต่ก็มีความบิดเบือน ทำให้รัฐบาลเสียหาย ซึ่งเชื่อว่าระยะเวลาที่เหลืออยู่จะทำให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น อยากให้เกษตรอดทน ร่วมมือกัน ในการที่จะแก้ไขปัญหาต่างๆ จนทำให้เป็นรูปธรรมรัฐบาลเองก็พยายามจะทำทุกอย่าง ทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะในเรื่องของการจัดระเบียบการใช้น้ำ ให้มีการ รีไซเคิ้ล น้ำจากโรงงานอุตสาหกรรม มาใช้ประโยชน์ทางภาคการเกษตร เกษตรกรก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการปลูกพืชด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ประชาชนยังไม่เข้าใจ ไม่เชื่อฟังรัฐ ไม่เชื่อฟังรัฐบาล บางครั้งมีคนไม่หวังดีไปบิดเบือนพูดให้เสียหาย จนกระทั่งชาวบ้านไม่มั่นใจยังไง เพราะการที่เราเคยชินกับการปลูกพืชแบบเดิมๆ ใช้น้ำมากๆ หรือปลูกพืชโดยที่มุ่งหวังแต่เพียงให้ราคาสูงขึ้น ทั้งๆ ที่เป็นไปไม่ได้ เพราะดีมาน กับซับพลาย ไม่ต้องกัน ไม่พอเหมาะพอสมกัน แล้วก็ที่ผ่านมาก็อาจจะมีการช่วยเหลือด้วยเงิน เล็กๆ น้อยๆ บ้าง อะไรบ้าง ซึ่งไม่ยั่งยืน เหมือนเรื่องการจำนำข้าว ทั้งหมดไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนนะอาจจะเป็น “ประชานิยม” อาจจะดีบ้าง ไม่ดีบ้าง แต่ผมคิดว่าเป็นการแก้ปัญหาฉาบฉวย เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุต้องดูต้นเหตุ