วันนี้ (23 ก.ย.2559) นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยถึงเหตุการณ์เรือโดยสารสาธารณะจมลงในแม่น้ำเจ้าพระยาหน้าวัดสนามไชย จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 18 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมากว่า ได้ให้ทุกหน่วยงานรวบรวมข้อมูล ตรวจสอบเรือโดยสารและอุปกรณ์ชูชีพ และกลับมารายงานให้รับทราบในวันที่ 14 ตุลาคมนี้ โดยเรือทุกลำจะต้องมีการทำประกันภัยอย่างชัดเจน ซึ่งได้สั่งการให้ฝ่ายเทคโนโลนีสารสนเทศเร่งปรับปรุงโปรแกรมระบบการออกใบอนุญาตและต่อใบอนุญาตใช้เรือ ด้วยการระบุเลขที่กรมธรรม์และวันหมดอายุให้ชัดเจน เพราะต้องเริ่มใช้ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ เบื้องต้น การสอบสวนเหตุเรือล่มที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ไม่ได้ทำประกันภัย จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนแล้ว คาดว่าจะใช้ระยะเวลาไม่เกินวันที่ 30 กันยายน
โดยกรมเจ้าท่ายืนยันว่าการทำประกันภัยของเรือโดยสารแต่ละครั้งจะต้องดำเนินการผ่านตัวแทนบริษัทประกันภัยที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) และจะต้องนำใบกรมธรรม์มายื่นขอใบอนุญาตใช้เรือกับกรมเจ้าท่า และทางเจ้าหน้าที่ของกรมเจ้าท่าไม่มีสิทธิ์ที่จะเป็นตัวกลางในการออกกรมธรรม์ ซึ่งในเรื่องนี้ได้บรรจุเข้าไปให้หัวข้อการสอบสวนด้วย
นอกจากนี้ ยังได้สั่งการให้ทุกสำนักงานทั่วประเทศเร่งตรวจสอบท่าเรือและสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำลำน้ำทั่วประเทศและกลับมารายงานภายในสิ้นเดือนตุลาคม หากพบว่าท่าเรือและสิ่งรุกล้ำลำน้ำใดที่ไม่เป็นประโยชน์และเป็นอันตรายกับเส้นทางสาธารณะก็ให้ดำเนินการทุบทิ้ง แต่หากเป็นท่าเรือที่มีประโยชน์สามารถมาเสียค่าปรับตารางเมตรละ 1,000 บาท และมาขอใบอนุญาตได้
ขณะเดียวกัน ยังได้ดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญัติเดินเรือในน่านน้ำไทย พ.ศ.2456 ให้มีบทลงโทษที่รุนแรงมากขึ้น จากเดิมที่มีโทษปรับสูงสุดเพียง 10,000 บาท และจำคุกไม่เกิน 6 เดือน จะเปลี่ยนเป็นโทษปรับในหลักแสนบาทขึ้นไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงแต่ละกรณี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกือบ 1 สัปดาห์แล้ว ที่ครอบครัว "ครุฑอาชาติ" ต้องสูญเสียบุตรสาว คือ น.ส.หฤทัยทิพย์ ชุดอาชาติ อายุ 33 ปี จากเหตุเรือล่มหน้าวัดสนามไชย ที่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยา โดยมารดาของผู้เสียชีวิต ระบุว่า หลังเกิดเหตุ มีเพียงเหล่ากาชาด จ.พระนครศรีอยุธยา ที่เข้ามาดูแล จากนั้นไม่เคยได้รับการติดต่อจากหน่วยงานอื่นๆอีกเลย
นายอุดมศักดิ์ ขาวหนูนา หัวหน้าป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ขณะนี้ได้จ่ายเงินช่วยเหลือให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตไปแล้วบางส่วน เช่นเงินจากส่วนราชการ 14,500 บาท แต่ยังจ่ายไม่ครบทุกราย ส่วนเงินจากภาคเอกชนประมาณ 37,000 บาท อยู่ระหว่างรวบรวมเอกสารเพื่อรับเงินช่วยเหลือ รวมทั้งเงินช่วยเหลือจากกรมคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม รายละ 100,000 บาท ยังรอมติที่ประชุมอนุมัติ รวมแล้วครอบครัวผู้เสียชีวิต จะได้รับเงินช่วยเหลือรายละประมาณ 150,000 บาท