พล.อ.ประยุทธ์กล่าวว่าเมื่อวันที่ 13 ต.ค.2559 ประเทศชาติ และพสกนิกรชาวไทย ได้ประสบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ นั่นคือพระมหากษัตริย์ผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ความเมตตา อย่างสูงสุด แก่พสกนิกรของพระองค์ และถึงพร้อมด้วยความเพียรอันบริสุทธิ์ ดุจ "พระมหาชนก" หากเพียงคนไทยทุกคน แบ่งปันความรัก ความปรารถนาดีต่อกัน แม้เพียงเศษเสี้ยวความรักของพระองค์ ที่มีต่อประชาชน และแม้เพียงคนไทยทุกคน มีความเพียรสร้างความดี ทำคุณประโยชน์แก่ส่วนร่วม สังคม และประเทศชาติ แม้เพียงเศษเสี้ยว ที่พระองค์ทรงมีแล้ว คนไทยก็จะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่มีความเจริญ มั่นคง ที่สุดในโลก เช่นกัน
"ในเวลานี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีพระราชบัณฑูร ให้จัดการพระราชพิธีพระบรมศพ อย่างสมพระเกียรติ และถูกต้องตามแบบแผนโบราณราชประเพณี รวมทั้งทรงรับสั่งให้ขอพระราชวินิจฉัย จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ในเรื่องพิธีการ ตลอดจนการก่อสร้างพระเมรุ และศาลาทรงธรรม สำหรับการประกอบพระราชพิธีพระบรมศพ จากที่ได้ทรงมีพระราชบัณฑูรไว้ก่อนแล้วนะครับ พร้อมทั้งดูแลทุกข์สุขประชาชนในช่วงนี้ให้ดีที่สุด"
ทั้งนี้ รัฐบาลขอให้คำมั่นว่าจะปฏิบัติภารกิจสำคัญยิ่งนี้ร่วมกับพี่น้องประชาชนชาวไทย ทุกภาคส่วน เพื่อให้การพระราชพิธีพระบรมศพ สมพระเกียรติ เทิดไว้ซึ่งพระเกียรติยศ และพระเกียรติภูมิอันสูงส่ง
"ผมและรัฐบาลขอให้คำมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่สานต่อพระราชภารกิจและสนองพระปฐมบรมราชโองการ ที่ว่า 'เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม' ด้วยความจงรักภักดี เสมอด้วยชีวิต ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และด้วยความวิริยะอุตสาหะ อย่างเต็มกำลังความสามารถและสติปัญญา รวมทั้งขอปฏิญาณตนว่า จักจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ จนกว่าชีวิตจะหาไม่"
"ผมจะนำสิ่งที่รัฐบาลได้ยึดถือปฏิบัติ ใช้เป็นหลักการ และแนวทางในห้วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ว่ามีความสอดคล้องต่อเนื่องเชื่อมโยง และสนับสนุนกับวารการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ ได้อย่างไร ทั้งนี้ก็เพื่อให้ประชาชนทราบว่า อนาคตของประเทศไทยจะเป็นอย่างไร แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะเสด็จสวรรคตแล้ว แต่ 'พระราชดำริ' คือแนวคิดและปรัชญา 'พระราชดำรัส' คือ คำสั่งสอน ตักเตือน ให้สติ 'พระราชกรณียกิจ' คือ หลักการทรงงาน และ 'พระราชจริยวัตร' ของพระองค์ คือ การประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี แก่ปวงพสกนิกรชาวไทย ซึ่งจะยังคงอยู่คู่แผ่นดินไทย ตลอดไป ด้วยพระองค์ได้ทรง 'พูดให้ได้คิด สอนให้เกิดปัญญาและทำให้เห็นประจักษ์' ด้วยพระองค์เองตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา"
"ศาสตร์พระราชา" เหล่านั้น สามารถน้อมนำไปประยุกต์ใช้ได้ในทุกระดับ ตั้งแต่การประกอบกิจวัตรประจำวัน และสัมมาชีพ ของแต่ละบุคคล ไปจนถึง การบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนซึ่งเป็นแนวทางให้กับรัฐบาลและข้าราชการทุกคน พล.อ.ประยุทธ์กล่าว
นายกฯ ย้ำอย่าใช้ "ศาลเตี้ย" ตัดสินคนเห็นต่าง
พล.อ.ประยุทธ์กล่าวถึงการใช้ความรุนแรงกับผู้ที่ถูกมองว่ามีพฤติกรรมหมิ่นสถาบันด้วยว่า การตัดสินความเห็นต่างว่าผิดที่เดียวนั้นคงไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง และข้อสำคัญคือสังคมมีกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว หากทุกคนเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน รวมทั้งเคารพกระบวนการของศาลตัดสินยุติธรรม สังคมก็จะมีแต่ความสงบสุข ไม่มีการขัดแย้ง
"เราจะต้องไม่ตั้ง 'ศาลเตี้ย' ไม่ตัดสินปัญหาด้วยกำลัง แต่ควรใช้สติและใช้กฎหมายบ้านเมือง เจ้าหน้าที่ดูแลด้วยนะครับอย่าให้มีการกระทบกระทั่งกันโดยเด็ดขาด ต้องระงับโดยทันที แล้วก็สอบสวนว่าเรื่องอะไรกันนะครับ ให้มันได้ข้อมูลที่แท้จริงแล้วก็กรุณาประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบด้วย เพราะบางทีแพร่ในโซเซียลมีเดียบางเรื่องก็จริง บางเรื่องก็ไม่จริง บางเรื่องก็ตัดสินคนโน้นถูกคนนี้ผิดไป ซึ่งมันทำให้อันตรายมันเกิดขึ้นในสังคมบ้านในเวลานี้"
"ในช่วงเวลาที่เปลี่ยนผ่าน ผมอยากให้ทุกคน รวมพลังใจที่จะร่วมกันพัฒนาประเทศให้ก้าวต่อไป สู่การพัฒนาที่ยั่งยืน เพื่อสืบสานแนวทางพระราชดำริ และสานต่อพระราชปณิธาน ด้วยความรู้ รัก สามัคคีของคนในชาติ มุ่งมั่นตั้งใจขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านนี้ มีข้อมูลข่าวสาร ที่ทุกคนติดตามกันอยู่ในหลายๆ แง่มุมนะครับ ผมขอให้ยึดถือช่องทางสื่อสารของรัฐบาลเป็นสำคัญ อย่าหลงเชื่อ หลงแชร์ ข้อมูลข่าวสารที่ไม่มั่นใจ ไม่สามารถอ้างอิงแหล่งที่มาได้ เนื่องจากหลายเรื่องมีความอ่อนไหว หลายเรื่องสร้างความสับสน เพราะการแชร์ในสิ่งที่ไม่รู้และไม่จริง นอกจากอาจผิดกฎหมายแล้ว อาจสร้างความเสียหายให้กับสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเราทุกคน รวมทั้งประเทศชาติด้วย"