วันนี้ (3 พ.ย. 2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เป็นที่น่าสังเกตถึงการที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาช่วยซื้อข้าวจากชาวนาในช่วงนี้อาจมีนัยยะทางการเมือง เนื่องจากก่อนหน้า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่งขีดเส้นใต้ให้ปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เกี่ยวข้อง เพิกถอนคำสั่งให้จ่ายเงินชดใช้ 3.5 หมื่นล้านบาท กรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งจะครบกำหนด 7 วัน ในวันพรุ่งนี้ (4 พ.ย.)
โดยช่วงหนึ่งของการพูดคุย ระหว่างอดีตนายกฯ หญิง กับชาวนาที่บ้านโชคอุดม ต.ผือใหญ่ อ.โพธิ์ศรีสุวรรณ จ.ศรีสะเกษ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงกับต้องเช็ดน้ำตาเมื่อย้ำกล่าวถึงเจตนาที่ดำเนินโครงการรับจำนำข้าว เพื่อยกระดบคุณภาพชีวิตและสร้างรายได้ให้กับชาวนา แต่กลับถูกกล่าวหาว่าสร้างความเสียหายให้บ้านเมือง
ทั้งนี้ ตลอดทั้งวัน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ลงพื้นที่เพียง จ.ศรีสะเกษ แต่ยังไปที่ จ.อุบลราชธานี และ จ.สุรินทร์ เพื่อเยี่ยมเยียนชาวนาที่ได้รับความเดือดร้อนหลังราคาข้าวตกต่ำ และยังซื้อข้าวบรรจุถุงจากชาวนา ที่โรงเรียนสามัคคีวิทยาคาร อ.เมืองอุบลราชธานี ก่อนให้สัมภาษณ์ว่า
“รู้สึกห่วงชาวนา จึงลงพื้นที่ด้วยหวังจะให้กำลังใจและช่วยเหลือ ส่วนกรณีที่ชาวนาจะมอบเงินสมทบทุนช่วยชดใช้ความเสียหายนั้น ถือเป็นความตื้นตันใจ ที่ต้องกราบขอบคุณในน้ำใจของชาวนา”
ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ไม่ขอประเมินภาพรวมการเคลื่อนไหวของอดีตนายกรัฐมนตรีว่าเกี่ยวข้องกับนัยยะทางการเมืองหรือไม่
ส่วน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า คิดว่าสังคมยอมรับได้หากอดีตนายกรัฐมนตรีมีเจตนาที่จะช่วยชาวนา โดยไม่มีเหตุผลเคลือบแฝง แต่ถ้าเป็นการจัดฉากหวังผลทางการเมือง เชื่อว่าประชาชนจะไม่สบายใจ ที่เห็นนักการเมืองเอาความเดือดร้อนของชาวนามาแสวงหาประโยชน์ทางการเมือง
ผู้สื่อข่าวรายงานต่ออีกว่า วันพรุ่งนี้ (4 พ.ย.) นอกจากจะเป็นวันครบกำหนด 7 วัน ที่อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงยื่นคำขาดให้ปลัดกระทรวงการคลังและผู้เกี่ยวข้อง เพิกถอนคำสั่งให้จ่ายเงินชดใช้ 3.5 หมื่นล้านบาท กรณีไม่ระงับยับยั้งความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งสอดคล้องกับการมีสิทธิ์ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองภายใน 30 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดประมาณวันที่ 18 พ.ย. นี้
และยังเป็นวันที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดไต่สวนพยานฝ่ายจำเลย คดีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าว โดยพยานที่จะขึ้นเบิกความนั้นคือ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นพยานปากที่ 8 จากทั้งหมดที่อ้างอิงไว้ 42 ปาก