วันนี้ (16 ธ.ค.2559) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการลงพื้นที่สำรวจโดยรอบวัดพระธรรมกาย พบว่า บริเวณประตู 5 ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในประตูยุทธศาสตร์ วัดพระธรรมกาย จัดกำลังรักษาความเรียบร้อยอย่างแน่นหนา โดยมีเจ้าหน้าที่ประจำจุดทางเข้าออกเพื่อคัดกรองบุคคล พร้อมนำแผงเหล็กมากั้นโดยรอบ เช่นเดียวกับประตู 6 ทั้งฝั่งทางเข้าและทางออก มีเจ้าหน้าที่วัดยืนอำนวยความสะดวก และคัดครองบุคคลเข้าออกอย่างเข้มงวด
ส่วนบนถนนเลียบคลองแอน ซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะและเป็นพื้นที่ที่มุ่งหน้าสู่ประตู 15 จากการสำรวจพบว่า บริเวณนี้ไม่มีเจ้าหน้าที่วัดประจำที่ประตู แต่วัดได้ตั้งเต็นท์สังเกตการณ์อยู่ฝั่งตรงข้าม พร้อมแผงเหล็กและป้ายข้อความระบุว่า เป็นพื้นที่ส่วนบุคคล ห้ามบุคคลภายนอกเข้า ส่วนประตู 8 ซึ่งอยู่ด้านหลังของวัดพระธรรมกาย ฝั่งคลอง 2 จุดนี้ประตูถูกปิด แต่มีเจ้าหน้าที่ของวัดเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ด้านใน
ส่วนบริเวณประตู 4 ฝั่งถนนเลียบคลอง 3 ประตูถูกปิดถึง 2 ชั้น แต่กล้องวงจรปิดถูกถอดออก มีเจ้าหน้าที่วัดเฝ้าสังเกตการณ์ สำหรับประตู 7 เป็นประตูหลักที่ใช้เข้า - ออก ของผู้มาปฎิบัตธรรม ขณะนี้ด้านหนึ่งถูกปิด เปิดให้ใช้เป็นทางเข้า-ออกเพียงด้านเดียว มีเจ้าหน้าที่วัดคัดกรองบุคคลอย่างละเอียด
ด้าน พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ประชุมร่วมกับคณะทำงานคดีวัดพระธรรมกาย ที่สถานีตำรวจภูธรคลองหลวง หลังมีการแจ้งดำเนินคดีกับวัดพระธรรมกาย เพิ่มอีก 55 คดี แยกเป็น 2 กลุ่ม คือการก่อสร้างอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต และการบุกรุกที่สาธารณะ รวมทั้งหมด 98 คดี
ส่วนกระแสข่าวลือ ที่ระบุว่า ตำรวจได้ประสานการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคและการประปาส่วนภูมิภาค เพื่อขอตัดไฟและน้ำภายในวัดพระธรรมกาย พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กร วัดพระธรรมกาย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า การตัดน้ำตัดไฟวัดด้วยเจตนาเพื่อให้วัดเดือดร้อนถือเป็นการทำผิดหลักสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง ผิดกฎบัตรสหประชาชาติ
ส่วนกรณีที่ดีเอสไอ แจ้งความดำเนินคดีกับ นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย ศาลอาญาอนุมัติออกหมายจับ จำนวน 2 คดี คือ ความผิดฐาน ทำให้เสียหาย ทำลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ และหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยโฆษณา และหมายจับศาลอาญาในความผิดฐาน กระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีอื่นใด เพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร