วันนี้ (16 ธ.ค.2559) เมื่อเวลา 20.15 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวใน รายการ “ศาสตร์พระราชาสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ว่า “ศาสตร์พระราชา” ที่คงอยู่คู่แผ่นดินไทยนั้น ครอบคลุมทั้ง “พระราชดำริ” คือแนวคิดและปรัชญา “พระราชดำรัส” คือคำสั่งสอน ตักเตือน ให้สติ “พระราชกรณียกิจ” คือหลักการทรงงาน และ “พระราชจริยวัตร” ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา ซึ่งปวงพสกนิกรชาวไทย ได้น้อมนำมาเป็นแบบอย่างที่ดี ในการประพฤติตน รวมทั้งรัฐบาลและข้าราชการทุกคน ได้น้อมนำไปประยุกต์ใช้ ในการบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อสร้างชาติ และพัฒนาประเทศ อย่างสมดุลและยั่งยืน
สำหรับเพลง “พรปีใหม่” เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ ลำดับที่ 13 ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ด้วยมีพระราชประสงค์ ที่จะพระราชทานพรปีใหม่ แก่บรรดาพสกนิกรของพระองค์ ด้วยบทเพลง ในวันปีใหม่ วันอังคารที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2495 ซึ่งผมถือว่าเป็น “ศาสตร์พระราชา” อันเป็น “สายใยแห่งความรักและความห่วงใย” ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่มีต่อพสกนิกรไทย ทั้งมวล ในปีเดียวกันนี้ นับว่าเป็นปีมหามงคลยิ่ง ของปวงชนชาวไทย เพราะนอกจากจะได้รับพระราชทาน “พรจากฟ้า” แล้ว ยังเป็นปีที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชสมภพ เป็น พระราชโอรส“พระองค์เดียว” ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งพระองค์ ได้เสด็จขึ้นทรงราชย์ เป็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 ในศกนี้
เนื่องในโอกาสที่ “วันขึ้นปีใหม่” ใกล้ที่จะเวียนมาบรรจบอีกวาระหนึ่ง รัฐบาลขอความร่วมมือ จากทุกภาคส่วน ในการจัดกิจกรรมวันปีใหม่โดยเน้นกิจกรรมสำคัญ 3 ประการ คือ 1. กิจกรรมทางศาสนา เพื่อยกระดับจิตใจ, แสดงความกลมเกลียวของประชาชน และรักษาความสงบร่มเย็นของประเทศชาติ เช่น การสวดมนต์ การรักษาศีล การร่วมกันทำความดี เป็นต้น 2. กิจกรรมสาธารณประโยชน์ สาธารณกุศล เพื่อแสดงความเป็นปึกแผ่น, กระตุ้น “จิตสำนึก” และส่งเสริม “จิตสาธารณะ” ในการทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม และประเทศชาติ โดยหากมีการจัดกิจกรรมบันเทิงขึ้น ก็ขอให้เป็นกิจกรรมที่อนุรักษ์ความเป็นไทย และรักษาอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันดีงาม ของประเทศ เป็นต้น และ 3. กิจกรรมที่แสดงถึง “ความจงรักภักดี” แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และ “การถวายพระพร” แด่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เป็นสำคัญ
กิจกรรมดีๆ ในช่วงนี้ ที่ผมอยากจะแนะนำ ได้แก่ (1) โครงการเปิดพิพิธภัณฑ์ให้ชมยามค่ำคืน เพื่อเทิดพระเกียรติ พระบาท สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือ “Night at the museum” ตั้งแต่วันที่ 16 - 18 ธ.ค.นี้ เวลา 08.00 ถึง 22.00 ประกอบด้วย 28 นิทรรศการ และ 24 กิจกรรม โดยความร่วมมือของกลุ่มพิพิธภัณฑ์ ภายในพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ และกลุ่มที่จัดงาน บริเวณภายนอกพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ รวมทั้งสิ้น 19 หน่วยงาน
และ (2) งาน “9 ตามพ่อ สานต่อพระราชปณิธาน” ตั้งแต่วันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา จนถึง 31 ม.ค. 2560 ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ประกอบด้วยนิทรรศการแสดงพระปรีชาสามารถ และพระอัจฉริยภาพ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 การขับร้องและบรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ รวมถึงการเสวนาพูดคุยในหัวข้อต่างๆ ที่เป็นประโยชน์และน่าสนใจ เป็นต้น
รัฐบาลยังได้เตรียม “ของขวัญปีใหม่” ต้อนรับเทศกาลวันปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง โดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปี หรือที่เรียกว่า “ช้อปช่วยชาติ” ซึ่งเป็นการยกเว้นภาษีเงินได้กับบุคคลธรรมดา สำหรับการซื้อสินค้า หรือบริการ “ในประเทศ” ระหว่างวันที่ 14 – 31 ธ.ค.นี้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15,000 บาท ต่อคน โดยสามารถนำการซื้อ “หลายครั้ง” มารวมกันได้ ทั้งนี้ อย่าลืมขอ “ใบกำกับภาษี แบบเต็ม” ที่มีข้อความระบุชื่อ ที่อยู่ ของผู้ซื้อสินค้า หรือผู้รับบริการ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของผู้ประกอบการ สำหรับใช้ประกอบการขอยกเว้นภาษีในภายหลัง ทั้งไม่รวมถึงสินค้าประเภทเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากรัฐบาลไม่ได้ต้องการให้มาตรการนี้ ไปส่งเสริมการ “ดื่มเครื่องดองของเมา” และไม่ยกเว้นภาษีสินค้ายาสูบ รถยนต์ รถจักรยานยนต์ น้ำมันและก๊าซเติมรถยนต์ อีกทั้งไม่รวมถึงค่าที่พักและค่าบริการด้านการท่องเที่ยว สำหรับในปีนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมในมาตรการกว่า 2 ล้านคน สามารถกระตุ้นการใช้จ่ายได้มากกว่า 2 หมื่นล้านบาท และสามารถลดการจัดเก็บภาษีได้กว่า 3,200 ล้านบาท
นอกจากนี้ ครม.มีมติ “เห็นชอบ” แนวทางการแก้ไขปัญหาการจราจรบนทางหลวงพิเศษหมายเลข 7 และ 9 ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ โดย “อนุมัติ” หลักการให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ทางหลวงดังกล่าว ตั้งแต่เวลา 00.01 นาฬิกา ของวันที่ 29 ธ.ค. 2559 ถึงเวลา 24.00 นาฬิกา ของวันที่ 4 ม.ค. 2560 สำหรับการอำนวยความสะดวก และการรักษาความปลอดภัยระหว่างการเดินทางกลับภูมิลำเนา และเดินทางเพื่อท่องเที่ยวของประชาชนนั้น ก็ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามแผนปฏิบัติการที่ได้กำหนดไว้ โดยนำผลการประเมิน และมาตรการต่างๆ จากบทเรียนในปีที่ผ่านๆ มาปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้พี่น้องประชาชนของเรา ซึ่งผู้ประกอบการคมนาคมขนส่ง
คนขับเรือ รถโดยสาร ต้องระมัดระวังให้มากที่สุด อย่าดื่มสุราแล้วขับรถ เป็นอันตราย การแซง การใช้ความเร็วให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอให้พี่น้องประชาชนได้ติดตามข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์จากทางราชการ ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่อยากให้ “ตกข่าว” หรือปฏิบัติไม่ถูกต้อง อาจจะทำให้เสียประโยชน์ได้ เหมือนเช่นกรณี “การลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย เพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ” ซึ่งเป็น “ก้าวแรกๆ” ในการปฏิรูปรูปแบบการให้สิทธิประโยชน์ และการช่วยเหลือประชาชนผ่าน “บัตรผู้มีรายได้น้อย” อาทิเช่น การจ่ายเงินช่วยเหลือแบบ Prompt-Pay ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ การชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (หรือ e-Payment) ตามนโยบายเศรษฐกิจแบบ Digital Economy รวมทั้ง การรับสิทธิประโยชน์อื่นๆ ในอนาคต เช่น ลดค่าน้ำ – ค่าไฟ หรือรถเมล์ – รถไฟ “ฟรี” ในอนาคต เป็นต้น
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนไว้นั้นรัฐบาลจะพิจารณาให้ความช่วยเหลือในครั้งต่อไป ปัจจุบัน ทั้ง 3 ธนาคารที่เข้าร่วมโครงการฯ เริ่มทยอยจ่ายเงินช่วยเหลือแก่ผู้ที่มาลงทะเบียนฯ ไว้ ประมาณ 4.8 ล้านราย เป็นเงินรวม 11,000 ล้านบาท เหลือผู้ที่ไม่มีบัญชี – ไม่พร้อมรับเงินดังกล่าวอีกประมาณ 2 ล้านราย ที่อยู่ระหว่างการดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป เราต้องเรียนรู้เรื่องเหล่านี้ร่วมกัน สำหรับมาตรการระยะยาว ได้น้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” ในการพัฒนาที่ยั่งยืนมาสู่การปฏิบัติ ในแผนงาน –โครงการต่างๆ ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่าน ซึ่งรัฐบาลได้ดำเนินการแก้ไขการปัญหาสังคมที่ค้างคา และวางรากฐานเพื่อการพัฒนาสังคมที่ยั่งยืนในอนาคต โดยมีผลการดำเนินงานที่สำคัญ ดังนี้ 1. การพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย ตามแผนยุทธศาสตร์ฯ ครอบคลุม 2.7ล้านครัวเรือน ได้แก่ ฟื้นฟูเมืองชุมชนดินแดงใน 8 ปี กว่า 20,000 หน่วย การพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองกว่า 11,000 ครัวเรือน การจัดหาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา 309 ครัวเรือน โครงการปทุมธานีโมเดล 16 ชุมชน โครงการ “บ้านมั่นคง” 561 ชุมชน ใน 46 จังหวัด และโครงการ “บ้านยั่งยืน” กว่า 13,000 หน่วยเป็นต้น
2. การพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็ก โดยจัดสรรเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เพิ่มจากเดือนละ 400 บาท เป็น 600 บาท มีผู้ลงทะเบียนแล้วกว่า 150,000 คน, รับเงินแล้วกว่า 90,000 คน,เป็นเงิน 230 ล้านบาท การส่งเสริมศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั้งภาครัฐและเอกชนให้มีมาตรฐานกว่า 1,600 แห่ง และการพัฒนาเด็กในสถานรองรับ เพชรน้ำหนึ่ง ทั้ง 10 แห่ง เป็นต้น 3. การส่งเสริมการจ้างงานคนพิการในหน่วยงานภาครัฐ สถานประกอบการเอกชน และในชุมชน การเพิ่มเบี้ยความพิการจาก 500 บาท เป็น 800 บาทต่อเดือน การส่งเสริมชุมชนต้นแบบ “อารยสถาปัตย์” และขยายไปยัง 33จังหวัดทั่วประเทศ และการพัฒนาศักยภาพนักร้อง-นักดนตรี “ตาบอด” ผ่านโครงการ“จากถนนสู่ดวงดาว (From Street to Stars)” 4. การดำเนินการรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยจัดตั้งศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) 878 แห่งทั่วประเทศ การดำเนินการโรงเรียนผู้สูงอายุ 314แห่ง การยกระดับศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ 12 แห่ง เพื่อเป็น “ต้นแบบ” ในการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนและการสนับสนุนอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุกว่า81,000 คน
5. การจัดระเบียบและพัฒนาศักยภาพคนขอทานและคนไร้ที่พึ่ง ทั้งชาวไทยและต่างด้าวเกือบ 5,000 คน การจัดตั้ง “ธัญบุรีโมเดล” เพื่อพัฒนาศักยภาพด้านอาชีพส่งเสริมการมีงานทำคนขอทานและคนไร้ที่พึ่ง ก่อนกลับคืนสู่ครอบครัวและชุมชน ซึ่งได้ขยายผลไปยังสถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่ง 11 แห่ง การบังคับใช้กฎหมายและรณรงค์ “ให้ทานถูกวิธี ลดวิถีการขอทาน” เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน 6. การส่งเสริมความเข้มแข็งสถาบันครอบครัว โดยยุติความรุนแรงในครอบครัวในทุกพื้นที่และทุกรูปแบบ ผ่านโครงการ “ตำบลเข้มแข็งไร้ความรุนแรง” 3,000 แห่งทั่วประเทศ การส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างเพศ โดยขับเคลื่อนกฎหมายและมาตรการที่ป้องกันการเลือกปฏิบัติทางเพศ รวมถึงส่งเสริมการสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับสตรีในชุมชน และการพัฒนาศักยภาพสตรีในทุกมิติ ตลอดจนสร้างเครือข่ายเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงไทยในยุโรปกว่า 10 ประเทศ
7. การพัฒนาศูนย์ช่วยเหลือสังคม (สายด่วน 1300) ให้เป็นช่องทางให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ประสบปัญหาทางสังคมอย่างทันท่วงที โดยให้บริการประชาชนแล้วกว่า 98,000 ราย และ 8. นโยบายการขับเคลื่อนระดับพื้นที่จังหวัด โดยเน้นการบูรณาการภายใต้หลัก “บ้านเดียวกัน (One Home)” โดยการสร้างและประสานภาคีเครือข่ายด้านการพัฒนาสังคม การพัฒนาระบบข้อมูลทางสังคม การยกระดับกลไก“ประชารัฐ” ในระดับพื้นที่ เพื่อขับเคลื่อนครบวงจรอย่างเป็นระบบ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการสานต่อการพัฒนาสังคมไทยให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและวิสัยทัศน์ประเทศไทยในอนาคตอีกด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า อีก “ศาสตร์พระราชา” นั้น มีความสำคัญอย่างมาก สำหรับประเทศไทยที่เป็นประเทศเกษตรกรรม คือ “แผนยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ พ.ศ.2558 – 2569 ซึ่งประชาคมโลกให้ความสนใจแนวทาง และติดตามผลการดำเนินงานของรัฐบาล อย่างต่อเนื่อง ประกอบด้วย 12 กิจกรรมหลัก ได้แก่ ประปาหมู่บ้าน โรงเรียน ชุมชน การสร้างแหล่งน้ำ ทั้งในและนอกเขตชลประทาน การพัฒนาแหล่งน้ำและการขุดสระในไร่นา การขุดน้ำบาดาล เพื่อการเกษตรและช่วยภัยแล้ง การขุดลอกลำคลอง แม่น้ำสาขา การฟื้นฟู และการป้องกันการพังทลายหน้าดิน ซึ่งผลการดำเนินงาน ในการพัฒนาระบบกระจายน้ำ ปี 2558-2559 (2 ปีกว่าที่ผ่านมา) มีความคืบหน้า“มากกว่า” 10 ปีที่ผ่านมา ก่อนที่รัฐบาลนี้ จะเข้ามาบริหารราชการเป็นอย่างมาก สรุปได้ดังนี้ 1. การดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบกระจายน้ำเกือบ 2,000 แห่ง สามารถเก็บกักน้ำได้ 756 ล้านลูกบาศก์เมตร เพิ่มพื้นที่เกษตรชลประทานได้ 1.35 ล้านไร่ 2. การดำเนินการเพื่อพัฒนาระบบน้ำบาดาล ประมาณ 5,400 แห่ง มีศักยภาพในการใช้น้ำ 167 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี เพิ่มพื้นที่เกษตรบาดาลได้ กว่า 3 แสนไร่
สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต ปีงบประมาณ 2560 เพื่อสนับสนุนน้ำในโครงการต่อยอดโครงการพระราชดำริ, การสนับสนุนน้ำในพื้นที่เกษตรแปลงใหญ่และพื้นที่ที่พร้อมจะเป็นแปลงใหญ่ในอนาคต รวมทั้งการสนับสนุนน้ำในพื้นที่ การเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน โดยมี “เป้าหมาย” การดำเนินการในระยะ “เร่งด่วน” ใช้เวลา 1 ปีทั่วประเทศ จำนวน 211 โครงการ ดังนี้1. พื้นที่รับประโยชน์จากแหล่งน้ำ เกือบ 480,000 ไร่ 2. ปริมาณน้ำที่เก็บกักได้ เกือบ 440 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 3. ครัวเรือนที่ได้รับประโยชน์เกือบ 100,000 ครัวเรือน
ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความมั่นคงในการบริหาร และการใช้ทรัพยากรน้ำ อย่างมีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า โดยดำเนินการอย่างบูรณาการให้สามารถตอบสนองความต้องการน้ำ ในทุกภาคส่วน ทั้งภาคการผลิต ทั้งภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม, การอุปโภค-บริโภค และการรักษาสมดุลในระบบนิเวศ ด้วยครับ อย่าลืมเรื่องสำคัญ คือ ช่วยกันกำจัด “ผักตบชวาทุกต้น” อย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน สำหรับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ผมขอฝากแผนการพัฒนาคมนาคมขนส่ง พ.ศ.2560 เพื่อมุ่งสู่การพัฒนาขนส่งที่ยั่งยืนในอนาคต ให้พี่น้องประชาชนรับทราบรายละเอียดตามหน้าจอและติดตามได้ตามเว็บไซต์ของกระทรวงคมนาคม
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สุดท้ายนี้ ขอชื่นชม นายวิทิต ด้วงจุมพล แท็กซี่พลเมืองดี– จิตใจงาม ซึ่งนำทรัพย์สินเป็นเงินสดและทองรูปพรรณ มูลค่าเกือบ 3 ล้านบาท ที่ถูกลืมไว้ในแท็กซี่ ส่งคืนเจ้าของอย่างไม่ลังเล และไม่คิดเก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัว โดยโทรแจ้ง จส.100 และ สวพ.91 เพื่อติดตามหาเจ้าของจนพบ ซึ่งผมเห็นว่าเรื่องนี้นอกจากจะเป็นตัวอย่างที่ดีกับทุกๆ คนแล้ว ผมยังปรารถนาที่จะเชิญชวนให้ “คนไทย” ได้นำเรื่องราวสิ่งดีงามมาเล่าสู่กันฟัง มาสั่งสอนลูกหลาน เพราะ “ความดีเป็นเหมือนดอกไม้” ที่ส่งกลิ่นหอม สร้างความสดชื่น และยกระดับจิตใจให้กับทุกคนในสังคม