บทบาทในที่นี้อาจไม่ได้หมายถึง ตำแหน่งทางการเมือง แต่การมีนายทหารรุ่นน้องให้ความเคารพนับถือจำนวนมาก ท่าทีของ พล.อ.เปรม จึงมักจะถูกตีความเป็นสัญญาณทางการเมืองมาโดยตลอด
เกือบ 4 ทศวรรษที่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มีบทบาทต่อสถานการณ์การเมืองไทย นับตั้งแต่เข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 3 สมัย และได้รับการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม แต่งตั้งเป็นประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ จวบจนปัจจุบันก็ยังคงมีบทบาทสำคัญเรื่อยมา ในฐานะเสาหลักของกองทัพ ทำให้การปรากฎตัว ในแต่ละโอกาสที่เปิดบ้านสี่เสาเทเวศร์ จึงเป็นที่จับตามองถึงท่าทีและการส่งสัญญาณต่างๆ ที่สะท้อนถึงสถานการณ์บ้านเมือง รวมถึงช่วง 2 - 3 ปีนี้ ที่ยืนหยัดให้กำลังใจรัฐบาล-คสช.
นอกจากการเป็นบุคคลสำคัญของบ้านเมืองแล้ว พล.อ.เปรม ยังมีแง่มุมชีวิตหลายมิติ รวมถึงการเข้ามามีส่วนแก้ไขวิกฤติของประเทศหลายต่อหลายครั้ง ตั้งแต่การต่อสู้กับคอมมิวนิสต์และเหตุความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งอดีตนายทหารและนักเขียนอิสระรวบรวมเรื่องราวทั้งหมด มาถ่ายทอดแง่มุมทางทหาร ผ่านหนังสือ..จากใต้สู่อีสาน หรือแม้แต่หนังสือ..รัฐบุรุษชื่อเปรม ก็ได้สะท้อนความเป็นต้นแบบไว้เด่นชัด นั่นคือความซื่อสัตย์-กล้า และความเห็นที่ว่า..ทหารก็..คือมนุษย์
พล.อ.บัญชร ได้ย้อนที่มาการเรียกขานของคำว่า "ป๋า" ว่าน่าจะมีจุดเริ่มต้น จากทหารเหล่าทหารม้า ในช่วงที่ พล.อ.เปรม เป็นผู้บัญชาการศูนย์การทหารม้า และทำให้ทหารที่ทำงานใกล้ชิดกับ พล.อ.เปรม ถูกเรียกว่า..ลูกป๋า ซึ่งลูกป๋า..หลายคนมีบทบาทสำคัญ ทั้งในกองทัพและการเมือง จนทำให้อีกด้านหนึ่ง พล.อ.เปรม ก็ถูกมองเป็นผู้มากบารมี
หลักยึดในช่วงชีวิต 96 ปี ของ พล.อ.เปรม ยังถ่ายทอดผ่านงานด้านการศึกษาและสังคม ของมูลนิธิรัฐบุรุษ ภายใต้ปณิธาน 4 ด้านคือซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ จงรักภักดี และแนวคิดที่รณรงค์ให้คนในชาติ เกิดมาต้องตอบแทนบุญคุณแผ่นดิน ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใด อย่างเช่นในโครงการสานใจไทย..สู่ใจใต้