วันนี้ (31 ม.ค.2560) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการฟ้องนายกิตติศักดิ์ หรือ อ้วน สุ่มศรี นายปรีชา หรือ ไก่เตี้ย อยู่เย็น นายรณฤทธิ์ หรือ นะ สุริชา นายชำนาญ หรือ เล็ก ภาคีฉาย และ นางปุนิกา หรือ อร ชูศรี เป็นจำเลยที่ 1- 5 กรณีร่วมกันพกอาวุธ เครื่องกระสุนและวัตถุระเบิด อาทิ เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 ,ปืนเอ็ม 16, ปืนเอชเค (HK) 33 หรือ ปืนอาก้า ไปตามบริเวณแยกคอกวัว ถนนตะนาว ถนนประชาธิปไตย เขตพระนคร ในช่วงที่มีกลุ่มชายชุดดำ ระหว่างการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า โจทก์มีเจ้าหน้าที่ทหารเบิกความว่าในวันเกิดเหตุเห็นรถตู้สีขาวขับผ่านโดยมีนายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 ชะโงกหน้าออกมานอกรถ โดยมีปืนเอ็ม 16 และอาก้าในรถ และยังมีพี่สาวของจำเลยที่ 1 เบิกความว่าจำเลยที่ 1 มีอาชีพขับรถตู้โดยสารและไปร่วมชุมนุมกับกลุ่ม นปช.หลายครั้ง และโจทก์ยังมีคนขับรถตู้วินเดียวกับจำเลยที่ 1 เบิกความสนับสนุนด้วย ประกอบกับจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนแม้จะอ้างว่าถูกข่มขู่ แต่พยานโจทก์ทุกปากเบิกความสอดคล้องกันไม่มีข้อสงสัย ส่วนที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าตัวเองนั่งรถตู้มาร่วมชุมนุมแต่เข้าไปไม่ได้จึงเดินทางกลับไปที่ จ.ลำปาง จึงชี้ชัดว่าจำเลยที่ 1 ไปในที่เกิดเหตุจริง แต่ไม่นำพยานที่อ้างว่าเดินทางไป จ.ลำปาง มาเบิกความยืนยัน ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
ส่วนนายปรีชา จำเลยที่ 2 โจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนที่แฝงตัวในกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. เบิกความว่าพบจำเลยที่ 2 สวมหมวกไหมพรมปิดบังใบหน้า ในที่ชุมนุมและสามารถถ่ายภาพขณะถอดหมวกไว้ได้ ประกอบคำเบิกความของจำเลยที่ 2 รับว่าตัวเองเป็นการ์ด นปช. จริง แต่ในวันเกิดเหตุไปรับจ้างเดินสายไฟให้หน่วยงานราชการที่แจ้งวัฒนะ ไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุม แต่ไม่นำผู้ว่าจ้างหรือสัญญาจ้างมายืนยันเป็นเพียงคำกล่าวอ้างไม่น่าเชื่อถือ ประกอบคำรับสารภาพในชั้นสอบสวน แต่ปฎิเสธกรณีร่วมกันสะสมกำลังพลหรืออาวุธ พยานหลักฐานมีน้ำหนักรับฟังได้ว่า นายกิตติศักดิ์ จำเลยที่ 1 และ นายปรีชา จำเลยที่ 2 ทำผิดตามฟ้อง ร่วมกันพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ หรือชุมชน และมีอาวุธ เครื่องกระสุนปืน และวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตได้ ตามพระราชบัญญัติ อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490 พิพากษาจำคุกคนละ 10 ปี
ส่วนจำเลยที่ 3,4,5 แม้ว่าในชั้นสอบสวนจะให้การรับสารภาพแต่เจ้าหน้าที่มีเพียงบันทึกคำซักถามและคำให้การของผู้ต้องหาเท่านั้น เป็นเพียงพยานบอกเล่าและคำซัดทอด แม้จะมีภาพถ่ายนำชี้ที่เกิดเหตุ แต่ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความสนับสนุนจึงมีเหตุให้สงสัย ไม่มีน้ำหนัก พยานหลักฐานไม่น่าเชื่อถือ จึงยกประโยชน์ให้จำเลยที่ 3,4,5 พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ ระบุว่า เตรียมยื่นอุทธรณ์ ในส่วนของจำเลยที่ 1 และ 2 เพื่อต่อสู้คดี โดยจะหารือร่วมกับทีมทนายความต่อไป