วันนี้ (19 เม.ย.2560) นายอภิสิทธิ์ ทรัพย์นภาพันธ์ และ น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา ตัวแทนภาคประชาชนเข้าแจ้งความกล่าวโทษ กรณีหมุดคณะราษฎรที่ฝังอยู่บริเวณพระบรมรูปทรงม้า ลานพระราชวังดุสิตหายไปจากตำแหน่งติดตั้งเดิม ที่สถานีตำรวจนครบาลดุสิต เพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดตามหาผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายโดยเร็ว และให้นำหมุดปลอมมารักษาไว้ เพื่อเป็นของกลางประกอบการดำเนินคดีต่อไป
สำหรับการเข้าแจ้งความครั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กระทำในนามของประชาชน โดยมีข้อกล่าวโทษ ดังนี้ การกระทำความผิดฐานเบียดบังเอาโบราณสถานวัตถุเป็นของตน เนื่องจากหมุดดังกล่าว ถือเป็นโบราณวัตถุ ตามมาตรา 4 ในกฎหมายโบราณสถาน โบราณวัตถุ ผู้ที่ลักไปมีความผิดตามมาตรา 31 และการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ที่ใช้ หรือมีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ซึ่งความผิดทั้ง 2 เป็นอาญาแผ่นดิน รวมทั้งเป็นเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจ และได้รับความสนใจจากประชาชนเป็นวงกว้าง
ส่วนประด็นที่หลายฝ่ายออกมาระบุว่าหมุดคณะราษฎรไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาตินั้น น.ส.ณัฏฐา เห็นว่า เป็นสิ่งที่มีคุณค่าแก่การเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ และบ่งบอกความเป็นมาของประชาธิปไตย ดังนั้นการมาแจ้งความเป็นสิทธิ์ที่ประชาชนพึงกระทำได้
นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าหมุดคณะราษฎรหายไปในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนเมษายน เนื่องจากมีพยานบุคคลซึ่งเป็นกลุ่มนักศึกษาที่มาทำรายงานเกี่ยวกับหมุดคณะราษฎรอันเดิมก่อนจะหายไป และหลังจากแจ้งความที่สถานีตำรวจนครบาลดุสิตแล้ว ตัวแทนภาคประชาชนจะเดินทางไปยังศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินการด้านเอกสารขอดูภาพกล้องวงจรปิดเพื่อตรวจสอบอีกทางหนึ่ง
ขณะที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีผู้ไปแจ้งความกับตำรวจให้ดำเนินการเอาผิดกับผู้ที่สับเปลี่ยนหมุดคณะราษฎรว่า การแจ้งความสามารถทำได้ ในฐานะพลเมืองดี และการที่รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ระบุว่าผู้ที่แจ้งความได้จะต้องเป็นผู้เสียหายเท่านั้น เป็นเพียงการตั้งคำถามว่าผู้ที่มาแจ้งความ คือผู้เสียหายหรือไม่เท่านั้น เพราะหากเป็นผู้เสียหายมาแจ้งความ จะถือเป็นการร้องทุกข์ แต่หากมาแจ้งความในฐานะพลเมืองดี ถือเป็นการกล่าวโทษ