วันนี้ (28พ.ค.2560) นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องจากโรคไข้หวัดใหญ่เกิดขึ้นได้ประปรายตลอดทั้งปี โดยจะพบมากขึ้นในช่วงฤดูฝน และฤดูหนาว โดยสถานการณ์ล่าสุด ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.– 1 พ.ค.นี้ พบผู้ป่วย 22,117 ราย เสียชีวิต 2 ราย เพื่อลดความรุนแรงของโรค การให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ เป็นมาตรการสำคัญที่จะช่วยลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากโรคไข้หวัดใหญ่ ดังนั้น จึงต้องมีการฉีดวัคซีนทุกปี
ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้รณรงค์ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล จำนวน 3.5 ล้านโด๊ส ให้กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข 4 แสนโด๊ส และประชาชนกลุ่มเสี่ยง 3.1 ล้านโดส ประกอบด้วย 1.หญิงตั้งครรภ์ อายุครรภ์4 เดือนขึ้นไป 2.เด็กอายุ 6 เดือน ถึง 2 ปี 3.ผู้มีโรคเรื้อรัง คือ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน 4.บุคคลที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป 5.ผู้มีน้ำหนักตัว มากกว่า 100 กิโลกรัม 6.ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 7.ผู้ป่วยโรคธาลัสซีเมีย และ 8.ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมผู้ติดเชื้อ เอชไอวี มีอาการ โดยจะเริ่มให้บริการ ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย - 31 ส.ค.นี้สามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้ที่สถานพยาบาลของรัฐใกล้บ้านฟรี โดยวัคซีนที่ฉีดให้ครั้งนี้ ประกอบด้วย 3 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์ เอ (H1N1) สายพันธุ์ เอ (H3N2) และสายพันธุ์ บี(ออสเตรเลีย)
สำหรับการเตรียมตัวฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่นั้น ก่อนฉีดวัคซีน ควรพักผ่อนให้เพียงพอ สุขภาพโดยรวมสามรถปฏิบัติงานได้ปกติ ไม่ป่วยหรือมีอาการไข้ก่อนรับการฉีดวัคซีน นอกจากนี้ผู้ที่ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ เด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน ผู้ที่มีประวัติแพ้ไข่ไก่อย่างรุนแรง มีประวัติเคยแพ้วัคซีนไข้หวัดใหญ่อย่างรุนแรง โดยทั่วไปอาการข้างเคียงพบได้น้อย ส่วนใหญ่เป็นอาการเฉพาะที่ เช่น บวม แดง ตรงบริเวณที่ฉีดวัคซีน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือมีไข้ต่ำๆอาการที่เกิดขึ้นมักหายได้เองภายใน 1-3 วัน การดูแลรักษาอาการข้างเคียง หากปวด บวมบริเวณที่ฉีดให้ประคบด้วยผ้าเย็น หากมีไข้ให้รับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ในขนาดที่เหมาะสม หากมีอาการรุนแรง หรือเป็นมาก ควรปรึกษาแพทย์ทันที และแจ้งอาการให้ทราบโดยละเอียด สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร 1422 หรือ สำนักโรคติดต่อทั่วไป โทร 02-590-3183