วันนี้ (1 มิ.ย.2560) นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ตามที่สมาคมธนาคารไทยและธนาคารทั้ง 21 แห่ง ได้ร่วมขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์ National e-Payment เปิดให้บริการพร้อมเพย์ เพื่อเป็นช่องทางโอนเงินผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับลูกค้าบุคคลตั้งแต่วันที่ 27 มกราคม 2560 และขยายสู่ลูกค้านิติบุคคลตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2560 มีผลตอบรับการใช้งานจากลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลธนาคารแห่งประเทศไทย ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2560 พบว่า มูลค่าธุรกรรมสะสมผ่านพร้อมเพย์ทั้งระบบมากกว่า 48,000 ล้านบาท จากจำนวนธุรกรรม 7.5 ล้านรายการ โดยวันที่ปริมาณธุรกรรมสูงสุดมีการโอนประมาณ 100,000 รายการ
ในครึ่งหลังปีนี้ บริการพร้อมเพย์จะเพิ่ม 2 บริการใหม่ เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย ได้แก่ บริการรีเควสท์ทูเพย์ (Request to Pay) ให้บริษัทผู้ขายสินค้า บริการ เบี้ยประกันฯลฯ ส่งคำสั่งเรียกเก็บเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ และลูกค้าสามารถกดยืนยันและชำระเงินผ่านระบบพร้อมเพย์ได้ทันที ดังนั้นรีเควสท์ทูเพย์จะอำนวยความสะดวกให้แก่ทั้งผู้เรียกเก็บเงินและผู้ชำระเงิน โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 4 ปีนี้
สำหรับอีกบริการ คือบริการชำระบิลข้ามธนาคาร (Cross Bank Bill Payment) เป็นการอำนวยความสะดวกให้แก่ภาคธุรกิจที่ส่งบิลเรียกเก็บค่าบริการจากลูกค้าเป็นประจำ สามารถสมัครใช้บริการชำระบิลข้ามธนาคารกับธนาคารเพียงแห่งเดียว (Bank Agent) ลูกค้าของธุรกิจนั้นสามารถนำบิลที่ได้รับชำระผ่านพร้อมเพย์ได้ทันที ซึ่งจะอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ามาก ในขณะที่ภาคธุรกิจไม่ต้องทำข้อตกลงการรับชำระบิลกับธนาคารแต่ละแห่ง ช่วยให้ธุรกิจทำงานได้สะดวกและง่ายขึ้น โดยคาดว่าจะนำร่องทดลองใช้งานได้ในไตรมาส 4 ปีนี้
นายปรีดี กล่าวว่า จากการเปิดบริการพร้อมเพย์มาไม่ถึง 4 เดือน ปริมาณธุรกรรมมีมากกว่าการเปิดให้บริการในบางประเทศในยุโรปมาถึง 2 ปี และที่น่ายินดี คือในประเทศไทยยังไม่พบลูกค้าร้องเรียนเรื่องความปลอดภัยและความผิดพลาดของระบบพร้อมเพย์เลย ดังนั้น ทางสมาคมฯ จึงเชื่อว่าลูกค้าจะมีความมั่นใจในการใช้บริการเพิ่มมากขึ้น และหวังให้บริการพร้อมเพย์เป็นทั้งบริการและโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยตอบสนองการทำธุรกรรมและชำระเงินที่สะดวกขึ้นทั้งกับประชาชน ผู้ประกอบธุรกิจ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐ และด้วยบริการใหม่ ๆ ที่จะออกให้บริการต่อยอดในอนาคต จะเป็นปัจจัยที่ช่วยให้ความนิยมใช้งานพร้อมเพย์เพิ่มขึ้นไปด้วย เพื่อนำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการใช้เงินสด ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการจัดการเงินสดให้กับประเทศโดยภาพรวม และช่วยสนับสนุนการเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศไทยให้เกิดขึ้นจริง
ทั้งนี้ ณ กลางเดือนพฤษภาคม มีผู้ลงทะเบียนพร้อมเพย์ เป็นนิติบุคคล จำนวนประมาณ 30,000 รายการ เป็นบุคคลธรรมดาจำนวน 28.3 ล้านรายการ ตั้งเป้าหมายสิ้นปี 2560 จะมีผู้สมัครลงทะเบียนพร้อมเพย์ทั้งสิ้นมากกว่า 30 ล้านรายการ